เหมือนกุ๊ยทะเลาะกับสุภาพบุรุษ เมื่อ 2 ผู้เฒ่าคู่ชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีปะทะคารมกันในรอบแรกของการดีเบต เช้าวันพุธตามเวลาประเทศไทย ชาวอเมริกันได้เนื้อสาระอะไร มองว่าใครเป็นผู้ชนะรอบแรก ก็สุดแล้วแต่ว่าใครถือหางใคร
สุดท้าย การดีเบตกำหนดไว้ 90 นาที ก็จบ โดยที่เนื้อหาสาระไม่มากนัก เพราะมัวแต่โต้คารม เพราะการป่วนของทรัมป์ และทำให้อาจไม่มีดีเบตรอบ 2 ถ้าทรัมป์ยังใช้วิธีตีรวน ป่วนกระบวนความคิดของคู่ท้าชิง ถือว่าผู้ดำรงตำแหน่งเอาเปรียบอย่างน่าเกลียด
ถือว่าเป็นดีเบตที่ห่วยที่สุดในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี มีแต่ความวุ่นวาย เพราะไร้กฎกติกา ถือว่าเป็นความเสียหายต่อระบอบประชาธิปไตยนั่นเลย!
แต่ผู้นำทำเนียบขาว โดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงให้เห็นอีกรอบในสายตาของคนทั้งโลกว่ามีความมุ่งมั่นว่าจะต้องชนะในศึกดีเบต และการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการใดก็ตาม ไม่คำนึงถึงกฎ กติกา มารยาท หรือความเป็นสุภาพชน
ทรัมป์ทำให้การเมืองอเมริกันตกต่ำที่สุด ในสมัย 4 ปีแรกของการเป็นผู้นำ การดีเบตครั้งนี้ ทรัมป์มาเพื่อเอาชนะ ต้องพูดให้ได้มากที่สุด ต้องขัดจังหวะ แทรก การพูดของคู่แข่ง โจ ไบเดน ให้มากที่สุด ไม่สนใจคำเตือนของพิธีกร คริส วอลเลซ ของฟ็อกซ์ นิวส์
การใช้คำพูดเหยียดหยามคู่แข่ง ทำให้ทรัมป์ดูว่าเป็นคนหยาบกระด้าง ไม่รู้สึกว่าต้องอับอาย การปรากฏตัวของทรัมป์มาด้วยสีหน้าบึ้งตึง เต็มไปด้วยอารมณ์
ดูท่าทางแล้ว ทรัมป์มาด้วยสภาวะที่โดนกดดันหนักโดยข่าวด้านลบเรื่องภาษี
ยุทธวิธีของทรัมป์ ในการพูดแทรก ขัดจังหวะ ทำให้เกิดการโต้เถียงจนไม่รู้ว่าใครต้องการสื่อสารเรื่องอะไร และเป็นการทำลายโอกาสของไบเดน ชัดเจน
บางช่วงทรัมป์โดนโจมตี ก็ออกอาการยัวะ แล้วชิงเปิดประเด็นใหม่เพื่อคุมเกม
งานนี้ไบเดนเสียเปรียบ และเสียรู้ เพราะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษมากเกินไป โดยไม่ใส่ใจว่าทรัมป์เป็นคนเล่นเกมสกปรก ชกใต้เข็มขัด โกหกหน้าตาย ใช้ข้อมูลเท็จโดยตลอด
กว่าจะรู้ว่าเป็นข้อมูลผิด ก็ช้าไปแล้ว ทรัมป์ได้สื่อสารถึงผู้ฟังเรียบร้อย งานนี้พวกเชียร์ทรัมป์คงชอบใจที่ได้ตีกินด้วยการไม่รักษากติกา ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง
เป็นที่เข้าใจได้ว่าทรัมป์มาพร้อมกับข่าวฉาวโฉ่เรื่องการหลบเลี่ยงภาษีเงินได้ และเจตนาไม่บริสุทธิ์ เป็นจุดอ่อนหลักซึ่งทรัมป์พยายามเลี่ยงที่จะตอบเมื่อถูกพิธีกรซัก
เมื่อถูกถามว่าเสียภาษีเงินได้เท่าไหร่ในปี 2016-17 ทรัมป์อ้างว่า “เสียภาษีเป็นเงินหลายล้านดอลลาร์” แต่ไม่ยอมอธิบายรายละเอียด ขณะที่ตัวเลขที่สื่อนิวยอร์ก ไทมส์ เปิดโปงคือ 750 ดอลลาร์เท่านั้น ซึ่ง โจ ไบเดน เปรียบเปรยว่าเสียภาษีน้อยกว่าพวกครู
การขัดจังหวะ พูดแทรก ก่อกวนเวลาของไบเดน ทำให้ผู้ชมรู้สึกหงุดหงิด และไบเดนก็เสียจังหวะและกระบวนความคิดในการนำเสนอและโต้ข้อกล่าวหา พิธีกรก็ย้ำกับทรัมป์หลายครั้งว่าการขัดจังหวะบ่อยๆ อย่างนั้น ทำให้คนอเมริกันไม่ได้สาระอะไร
ช่วงครึ่งชั่วโมงแรกในการดีเบต ทรัมป์ได้เปิดฉากโจมตีด้วยประเด็นต่างๆ และขัดจังหวะ เตะตัดขาไบเดนตลอด ทำให้เสียกระบวนท่า ทำให้ไบเดนทนไม่ได้ ช่วงหนึ่งได้ บอกทรัมป์ว่า “ช่วยหุบปากหน่อยจะได้มั้ย” แต่ทรัมป์ไม่รู้สึกว่าต้องรักษามารยาท
อย่างที่บอกไว้ ไบเดนมีโอกาสได้พูดน้อยกว่าทรัมป์ ข้อความต่างๆ ที่พยายามสื่อสารให้คนอเมริกันได้รับรู้โดนทรัมป์แทรก พูดเบี่ยงประเด็น และยกผลงานของตัวเองเข้าเปรียบเทียบ ทั้งไบเดนและผู้ชมบางครั้งต้องส่ายหัวในการไม่รักษากติกาของทรัมป์
การไม่ตอบคำถาม แล้วใช้เวลาทะเลาะกับพิธีกร เป็นจังหวะที่ทรัมป์ได้โอกาสพูด
แต่ก็นั่นแหละ ทรัมป์ไม่ต้องการรักษากติกา หรือให้คนดูว่าตัวเองเป็นผู้ดี ขอให้ได้จังหวะพูดมากที่สุด โจมตีไบเดนมากที่สุด และเลี่ยงตอบคำถามสำคัญที่พิธีกรย้ำ
กรณีภาษีเงินได้ ความรุนแรง ความแตกแยกในสังคมอเมริกัน ความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจ และการระบาดของเชื้อไวรัส ทรัมป์ไม่ยอมอธิบายใช้ข้อมูลประกอบ
เช่นคำถามว่ารู้สึกอย่างไร และจะทำอย่างไรกับกลุ่มคนผิวขาวหัวรุนแรงและเหยียดสีผิว ที่เรียกกันว่า white supremacists ทรัมป์ไม่ตอบ พยายามเลี่ยงไปเลี่ยงมา เพราะเกรงว่าจะเสียคะแนนในกลุ่มคนผิวขาว ทำให้ถูกมองว่าเป็นการให้ท้ายกลุ่มพวกนี้
เรื่องการจัดการระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐฯ ทรัมป์ก็ใช้ลูกเล่นเก่า คือโจมตีจีนว่าเป็นตัวแพร่โรค ถ้าจะโทษใคร ก็ต้องโทษจีน และอ้างว่าการที่คนอเมริกันเสียชีวิตกว่า 2 แสนคนถือว่าเป็นผลงานของตัวเอง ถ้าเป็นคนอื่น ป่านนี้ คนอเมริกันจะตายกว่า 2 ล้าน
อย่างนี้ก็มี และเป็นลีลาของทรัมป์ในการใช้ความล้มเหลวของตัวเองเป็นจุดแข็ง
ทรัมป์อ้างว่าความสำเร็จของตัวเองคือการทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ดี การจ้างงานมากขึ้น ตลาดหุ้นไปได้ดี บริษัทเอกชนทำกำไรงาม เพราะไม่ยอมปิดประเทศสู้กับโคโรนาไวรัส ถ้าเป็นไบเดน ต้องปิดเมือง และทำธุรกิจอะไรไม่ได้ คนไม่มีช่องทางหารายได้
“ถ้าเป็นไบเดน ปิดประเทศอย่างเดียว ไม่คำนึงถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจ”
การสำรวจความคิดเห็นของคนอเมริกันทำโดยซีเอ็นเอ็น หลังจากดีเบต 60 เปอร์เซ็นต์มองว่าไบเดนชนะ และ 28 เปอร์เซ็นต์มองว่าทรัมป์ชนะ ซึ่งยังต้องรอดูโพลอื่นๆ ด้วยว่ามีผลออกมาอย่างใด เพราะซีเอ็นเอ็นถูกมองว่าเชียร์ไบเดน
ยังมีรายละเอียดว่าไบเดนให้สาระมากกว่า และสามารถเป็นผู้นำที่น่าไว้ใจมากกว่า แต่โพลชี้ว่าคนอเมริกัน 57 เปอร์เซ็นต์ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร
ล่าสุด ไบเดนประกาศว่าจะยังเข้าร่วมในศึกดีเบตครั้งที่ 2 และคงปรับท่าทีใหม่