ผลสำรวจโดยรอยเตอร์/อิปซอสที่เผยแพร่วันนี้ (30 ก.ย.) พบว่า ขณะที่ชาวอเมริกันผู้เป็นฐานเสียงรีพับลิกันส่วนหนึ่งยอมรับว่าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ไม่ได้จ่ายภาษีอย่างเป็นธรรม และอาจนำเรื่องธุรกิจส่วนตัวมาปะปนกับการบริหารประเทศ ทว่าส่วนใหญ่ยังคงยืนกรานที่จะเลือกเขาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2
ผลสำรวจออนไลน์ระดับชาติถูกจัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 28-29 ก.ย. ภายหลังจากที่หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สออกมาเปิดเผยว่า ทรัมป์ ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์มีหนี้สินอยู่มากมาย และแทบจะไม่ได้เสียภาษีเข้ารัฐเลยในช่วงเกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา
ผลสำรวจพบว่า ฐานเสียงรีพับลิกัน 3 ใน 10 คนกังวลว่าเรื่องเงินๆ ทองๆ ของ ทรัมป์ อาจส่งอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเขาในฐานะประธานาธิบดี ขณะที่ 2 ใน 10 มองว่า ทรัมป์ ไม่ได้จ่ายภาษีในสัดส่วนที่เป็นธรรมและพอเหมาะพอสมกับรายได้จริงของเขา
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้ดูจะไม่ทำให้สมาชิกพรรครีพับลิกันสูญเสียความเชื่อมั่นใจตัวทรัมป์ โดยมีแค่ 3 ใน 10 คนเท่านั้นที่ตอบว่า “เชื่อ” รายงานของนิวยอร์กไทม์ส ขณะที่ 7 ใน 10 คนมองว่า ทรัมป์ เป็น “นักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ และรู้วิธีที่จะหลบเลี่ยงการเสียภาษี”
ผลสำรวจอีกฉบับโดยรอยเตอร์/อิปซอสพบว่า 88% ของฐานเสียงรีพับลิกันที่ลงทะเบียนเลือกตั้งยังคงตั้งใจที่จะโหวตให้ ทรัมป์ มากกว่า โจ ไบเดน ในวันที่ 3 พ.ย. นี้
โพลของรอยเตอร์/อิปซอสพบว่า ไบเดน ยังคงมีคะแนนนิยมนำหน้า ทรัมป์ อยู่ประมาณ 9% ในมุมมองของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั่วประเทศ ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากสัปดาห์ที่แล้ว โดยชาวอเมริกัน 51% ระบุว่าพวกเขาจะโหวตเลือก ไบเดน เป็นผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่, 42% จะโหวตให้ ทรัมป์ ส่วนที่เหลือยังไม่ได้ตัดสินใจ
ทั้งนี้ หากสำรวจมุมมองของชาวอเมริกันโดยทั่วไปที่ไม่ใช่เฉพาะฐานเสียงรีพับลิกัน พบว่า 51% ของชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่เชื่อว่า ทรัมป์ ไม่ได้เสียภาษีเงินได้มากเท่าที่ควรจะเป็น ขณะที่ 26% มองว่าที่ ทรัมป์ จ่ายภาษีในจำนวนเงินที่เหมาะสมอยู่แล้ว
ชาวอเมริกันทั่วไป 56% ยอมรับว่า รู้สึกกังวล “มาก” หรือ “นิดหน่อย” ว่า ทรัมป์ จะตัดสินใจเรื่องนโยบายต่างๆ โดยอิงกับผลประโยชน์ส่วนตัว ขณะที่ 33% ไม่กังวลในประเด็นนี้
ผลสำรวจออนไลน์โดยรอยเตอร์/อิปซอสซึ่งจัดทำระหว่างวันที่ 28-29 ก.ย. สรุปจากความเห็นของชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่ 1,005 คน ส่วนโพลวันที่ 25-29 ก.ย. เป็นการสอบถามจากประชาชนผู้คาดว่าจะออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 864 คน ซึ่งทั้ง 2 ฉบับมีค่าความผิดพลาดไม่เกิน 4%
ที่มา: รอยเตอร์