ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ดูจากอาการของ “บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล” อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ปัจจุบันที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินหน้าฟ้อง “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แล้วเกิดคำถามว่า อะไรคือ “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ทำให้ “โจ๊กหวานเจี๊ยบ” ตัดสินใจเยี่ยงนั้น
ความจริงไม่ใช่แค่ “บิ๊กโจ๊ก” เท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานนักนายตำรวจที่มีชะตากรรมเดียวกันและเป็น “พวกเดียวกัน” อย่าง “บิ๊กต้อย-พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา” อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ตัดสินสินใจฟ้อง “บิ๊กแป๊ะ-พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเช่นกัน
บิ๊กต้อยนำร่องฟ้องบิ๊กแป๊ะก่อน จากนั้นบิ๊กโจ๊กก็เดินหน้าฟ้องบิ๊กตู่ตามมา และชัดเจนว่า คดีของบิ๊กต้อยและบิ๊กโจ๊กคือเรื่องเดียวกัน
บิ๊กโจ๊กกับบิ๊กต้อยมี “ใคร” เป็น “แบค” ให้หรืออย่างไร เพราะการกระทำดังกล่าวมิอาจมองเป็นอื่นได้ว่า สถานการณ์ตกอยู่ในขั้น “ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กรณี “บิ๊กโจ๊ก” ที่ฟ้อง “บิ๊กตู่” ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ยากยิ่งที่จะเห็นชัยชนะ เพราะต้องไม่ลืมว่า “บิ๊กตู่” นอกจากจะเป็น “นายกฯ-รมว.กลาโหม” แล้ว ยังเป็น “ประธานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(กตช.)” อีกตำแหน่งหนึ่ง
เมื่อวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา “โจ๊กหวานเจี๊ยบ” ได้มอบหมายให้ นายสิทธิ งามลำยวง ทนายความส่วนตัว นำเอกสารคำร้องเข้ายื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต่อศาล กรณีออกคำสั่งย้ายโอนไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำฟ้องของ “บิ๊กโจ๊ก” แจกแจงเอาไว้ชัดเจนว่า คำสั่งโอนย้ายของ “บิ๊กตู่” กินเวลาผ่านมากว่า 1 ปี 5 เดือนแล้ว ยังไม่มีการตั้งกรรมการสอบสวนความผิด และไม่มีการสอบสวนจากหน่วยงานที่ตรวจสอบทั้ง ป.ป.ท. - ป.ป.ช. และ สตง. ตามกระบวนการที่ควรจะเป็น อีกทั้ง “บิ๊กโจ๊ก” ไม่ได้สมัครใจที่จะโอนย้ายไปในตำแหน่งดังกล่าวด้วย
ดังนั้น จึงจำต้องฟ้อง “บิ๊กตู่” เพื่อเป็นบรรทัดฐานให้แก่ข้าราชการอื่นที่ได้รับความเดือดร้อนจากการแต่งตั้งโยกย้ายจากผู้บังคับบัญชา ให้กล้าที่จะลุกขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรมและสร้างมาตรฐานที่ดีของการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม
และที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ ทนายยังได้ให้สัมภาษณ์บรรยายคุณความดีของ “บิ๊กโจ๊ก” ว่าปฏิบัติหน้าที่เต็มกำลังความสามารถ ในฐานะตำรวจที่ต้องบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้กับประชาชน ด้วยการเข้าไปแก้ปัญหาคดีฉ้อโกงประชาชน หนี้นอกระบบ แก๊งโรแมนซ์สแกม แก๊งอาชญากรข้ามชาติ รวมถึงคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชน โดยการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างเอาจริงเอาจัง จนผลงานเป็นที่ประจักษ์
ขณะที่ “บิ๊กตู่” ให้ความเห็นถึงเรื่องดังกล่าวเอาไว้สั้นๆ ว่า “ก็ว่าไป เป็นเรื่องของกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้มีการตรวจสอบกันแล้วถึงได้ดำเนินการ มีการตรวจสอบแล้วทั้งหมด”
ถามว่า ทำไม “บิ๊กโจ๊ก” ถึงต้องฟ้อง?
คำตอบมีเพียงหนึ่งเดียวคือ เขาต้องการกลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องการกลับไปเป็น “ข้าราชการตำรวจ” หลังมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯให้เป็น “ข้าราชการพลเรือนสามัญ” ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2562 และเป้าหมายสูงสุดก็เห็นที่จะหนีไม่พ้น “เก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ”
และเลือกฟ้องให้จังหวะที่ “บิ๊กแป๊ะ” กระดูกชิ้นโตใกล้จะเกษียณอายุราชการในสิ้นเดือนกันยายนนี้
ทั้งนี้ ก่อนที่จะตัดสินใจฟ้อง “บิ๊กตู่” นั้น “บิ๊กโจ๊ก” ได้เข้าพบ “รองณุ-นายวิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล เสมือนเป็นการขอคำแนะนำทางกฎหมายอย่างไรอย่างนั้น
สิ่งที่น่าสงสัยก็คือ การที่ “บิ๊กโจ๊ก” ไปพบ “รองณุ” ถูกตีความได้หรือไม่ว่า มีสัญญาณดีๆ ออกมาก ไม่เช่นนั้น ทำไมถึงต้องไปพบ และตั้งใจ “ปล่อยภาพ” ให้ปรากฏสู่สาธารณชนเพื่อให้เข้าใจไปในทิศทางนั้น
อย่างไรก็ดี หลังจากมีการฟ้องร้อง “นายวิษณุ” ก็ได้อธิบายรายละเอียดเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า กรณี “บิ๊กโจ๊ก” ไม่เหมือนกรณี “นายถวิล เปลี่ยนศรี” จากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ประเด็นก็คือ “บิ๊กโจ๊ก” ถูก “บิ๊กตู่” ย้ายโดยอาศัยอำนาจของ “มาตรา 44” ตามคำสั่งของ “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)” มิใช่คำสั่งของนายกรัฐมนตรี ซึ่งแปลความได้ว่า สามารถทำได้แม้จะมีหรือไม่มีความผิด และมาตรา 44 ก็มีอำนาจสมบูรณ์ในตัวเองตามรัฐธรรมนูญโดยมิอาจฟ้องร้องได้
อธิบายตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมก็คือ “หัวหน้า คสช.” คือ “รัฏฐาธิปัตย์” มีอำนาจเหนือทุกหน่วยงานในประเทศนี้
อย่างไรก็ดี คำสั่ง คสช.มี “บทเฉพาะกาล” แจกแจงเอาไว้ ซึ่งชื่อของ “บิ๊กโจ๊ก” อยู่ใน “บัญชีที่ 5” และผู้ที่อยู่ในบัญชีนี้หากจะกลับไป “หน่วยงานเก่า” ได้ก็ต่อเมื่อ “ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี” ได้รายงานต่อ “นายกรัฐมนตรี” หาก “นายกรัฐมนตรี”ให้ความเห็นชอบก็นำความกราบบังคมทูลต่อไป
แปลไทยเป็นไทยก็คือ “บิ๊กโจ๊ก” จะกลับมาได้ต้องได้รับความเป็นชอบจาก “บิ๊กตู่” แต่ในเมื่อ “บิ๊กโจ๊ก” ดำเนินคดีตามกฎหมายเสียแล้ว โอกาสที่จะกลับมาง่ายๆ คงเป็นไปได้ยาก
เป็นที่ทราบกันดีว่า “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” เป็นนายตำรวจที่มีความสนิทสนม ถึงขั้นถ้าบอกว่าเสมือนเป็น “ลูกรัก” ของคนใน “เครือข่ายใหญ่” แม้ “ฉากหน้า” จะประกาศตัดความสัมพันธ์แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่า “ฉากหลัง” ยังคงเหลือ “เยื่อใย” ต่อกันมากน้อยเพียงใด
ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า เมื่อดูทรงแล้ว ถ้า “บิ๊กโจ๊ก” สามารถเคลียร์กับ “เครือข่ายใหญ่” ได้ก็ไม่เห็นจะมีความจำเป็นอันใดต้องฟ้อง “บิ๊กตู่” อันจะทำให้สถานการณ์ดำเนินไปในขั้น “ติดดาบปลายปืน” ไอ้ที่ยังพอเหลือเยื่อใย “บางๆ” ก็อาจจะขาดสะพัดจากการณ์นี้ได้ เพราะไม่ว่าจะอย่างไร “เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ” เสมอ และเป็นไปตาม “ทฤษฎีมังกรกิโดราห์” ซึ่งถึงแม้จะมี 3 หัว แต่ก็มี “ตัว” และ “หัวใจ” เดียวกัน
ดังนั้น งานนี้ “บิ๊กโจ๊ก” น่าจะ “เละยิ่งกว่าโจ๊ก” เสียมากกว่า และต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไปว่า “ชะตากรรม” ของนายพลผู้เติบโตเร็วติดจรวดจะลงเอยอย่างไร จะเป็น “หอกข้างแคร่” ที่คอยทิ่มตำได้อีกนานแค่ไหน
ตัดภาพกับมาที่ “บิ๊กต้อย-พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา” นายพลผู้มีทรัพย์ศฤงคารมั่งคั่งระดับหมื่นล้านติดอันดับมหาเศรษฐีไทยจากธุรกิจของครอบครัว ด้วยเขาคือผู้ถือหุ้นใหญ่ของ “บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ACE” จำนวน 2,282,528,920 หุ้น หรือ 22.43% และบริษัทนี้ก็มี “จิรฐา ทรงเมตตา” ซึ่งเป็น “ภรรยา” ของ “บิ๊กต้อย” ดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการ
แล้ว “จิรฐา” ก็เป็นผู้หญิงไม่ธรรมดาด้วยสกุลเดิมของเธอคือ “ดำเนินชาญวนิชย์” โดยเป็นลูกสาวของ “นายกิตติ ดำเนินชาญวนิชย์” ประธานผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท เกษตรรุ่งเรืองพืชผล (ซุ่นฮั่วเส็ง) กลุ่มสวนกิตติ และกลุ่มบริษัท แอ๊ดวานซ์ อะโกร ผู้ผลิตกระดาษดั๊บเบิ้ล
“บิ๊กต้อย” สนิทสนมกันดีกับ “บิ๊กโจ๊ก”
“บิ๊กต้อย” มีเป็น “รุ่นพี่” และมีตำแหน่งทางราชการสูงกว่า “บิ๊กโจ๊ก” แต่ใครๆ ก็รู้กันดีว่า “พล.ต.อ.วิระชัย” นั้นเดินตาม “บิ๊กโจ๊ก” ชนิด “ต้อย ต้อย ต้อย” ถึงขนาดโจษขานกันเสียด้วยซ้ำว่าเป็น “เด็กบิ๊กโจ๊ก” เสียด้วยซ้ำไป
ด้วยเหตุดังกล่าว ถ้าจะบอกว่า “บิ๊กโจ๊ก” ดำเนินตามรอยของ “บิ๊กต้อย” อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็คงไม่ผิดไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก
21 สิงหาคม 2563 บิ๊กต้อย-พล.ต.อ.วิระชัย ได้มอบหมายให้ นายสัญชัย ทรัพย์เจริญ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง “บิ๊กแป๊ะ-พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต่อศาลอาญา คดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เป็นจำเลยในข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือผู้หนึ่งผู้ใดได้ประโยชน์
“บิ๊กต้อย” ฟ้อง “บิ๊กแป๊ะ” จากเหตุการณ์ “โจ๊กท่ายาก” หรือเหตุการณ์ที่มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่รถของ “บิ๊กโจ๊ก” เมื่อวันที่ 6 มกราคม แล้วมีผู้นำ “เทปสนทนาทางโทรศัพท์” ระหว่าง “บิ๊กต้อย” กับ “บิ๊กแป๊ะ” ออกมาเผยแพร่
“บิ๊กต้อย” บรรยายในคำฟ้องชัดเจนว่า การที่ “บิ๊กแป๊ะ” มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่งตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงทำให้เขาเสียสิทธิ์ในการได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทั้งที่เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อาวุโส อันดับ 1
อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่า สถานการณ์ของ “บิ๊กต้อย” ไม่สู้ดีนัก ด้วยล่าสุดเมื่อที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีให้ “บิ๊กต้อย” พ้นจากตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2563 เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน และเด้งไปอยู่ตำแหน่ง “สำรองราชการ ตร.”
ไม่เพียงแต่ฟ้อง “บิ๊กแป๊ะ” เท่านั้น หลังถูกเด้งเข้ากรุ “บิ๊กต้อย” ยังเดินหน้าฟ้อง พล.ต.อ.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ต.วีระวิทย์ วัจนะพุกกะ, พ.ต.อ.สมควร พึ่งทรัพย์, พ.ต.อ อุกฤษฏ์ ศรีเสือขาม, พ.ต.อ.จิรพัฒน์ พรหมสิทธิการ, พ.ต.อ.สมเกียรติ ค้ำชู, พ.ต.อ.นิภพล สุขนิยม เมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา ในคดีเดียวกัน ด้วยทั้ง 8 คนคือคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและมีผลออกมามา “บิ๊กต้อย” ผิดวินัยร้ายแรง
ทั้งนี้ ประเด็นที่น่าสังเกตก็คือ หลังจากนั้นไม่นานนักคือเมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา ป้ายทำเนียบผู้บังคับบัญชาในระดับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รอง ผบ.ตร.) และจเรตำรวจแห่งชาติ(จตช.) ที่ติดอยู่บริเวณหน้าห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) มีการนำภาพของ “บิ๊กต้อย” ออกจากทำเนียบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนเก้าอี้ “ว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” ที่เป็นความฝันอันสูงสุดของ “บิ๊กต้อย” ก็เป็นชัดแจ้งแล้วว่าคือ “บิ๊กปั๊ด-พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ตามของมติคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(ก.ต.ช.)เห็นชอบ เห็นชอบให้เป็น ผบ.ตร.คนที่ 12 ซึ่งโอกาสลุ้นให้ “พลิกโผ” ยากยิ่งกว่า “เข็นครกขึ้นภูเขา”
บิ๊กปั๊ดนั้นมี “คอนเนกชัน” ที่แน้นปึ้ก ด้วยเป็นทั้งเพื่อนร่วมรุ่น นรต.2036 ของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ และเป็นเพื่อนเตรียมทหาร 20 ของ “บิ๊กแดง-พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์” ผู้บัญชาการทหารบก
ทั้งนี้ เมื่อประมวลสถานการณ์ทั้งหลายทั้งปวงก็ต้องบอกว่า “บิ๊กต้อยและบิ๊กโจ๊ก” ตัดสินใจ “เดิมพันครั้งสุดท้าย” เพื่อที่จะกลับคืนสู่เส้นทางสายอำนาจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติและพร้อมยอมรับผลที่จะเกิดขึ้นตามมาทุกประการ ซึ่งก็ไม่รู้ว่า สุดท้ายแล้วชะตากรรมของทั้งสองคนจะดำเนินไปอย่างไร
แต่ถ้าจะให้ฟันธงแบบไม่กลัว “ธงหัก” ก็ต้องบอกว่า “มันจบแล้วครับต้อย มันจบแล้วครับโจ๊ก” ยิ่งเมื่อ “บิ๊กตู่” ตอบสั้นๆ ว่า “ให้เป็นเรื่องของกฎหมาย” ก็ย่อมแสดงว่า “ไร้ความปราณี” อีกต่อไป