ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เมื่อเฟซบุ๊กส่อเจตนาไม่ยอมปิดกั้นเว็บผิดกฎหมาย เมื่อท้าทายมา ไม่เคารพ กม.ไทย ก็ต้องเจอฟ้องจัดหนักกัน
ว่าด้วยโซเชียลมีเดียขาใหญ่ทั้งหลาย ทั้งเฟซบุ๊ก ยูทูบ และ ทวิตเตดร์ ที่คนไทยใช้มากเป็นลำดับต้นๆ ของโลก แต่ก็รับรู้กันว่า หลังๆ โซเชียลเหล่านี้ถูกใช้เป็นช่องทางการกระทำ cyber bully และ ปล่อยให้เว็บผิดกฎหมายอย่างโจ่งครึ่ม สร้างปัญหาให้กับสังคมอย่างมาก โดยเฉพาะกรณีเปิดพื้นที่ให้คนบางกลุ่มได้ใช้เพื่อ “หมิ่นสถาบัน” อยู่อย่างต่อเนื่องและรุนแรงขึ้นทุกวัน โดยที่รัฐใช้ “ไม้นวม” เคยขอความร่วมมือให้ปิดกั้นหลายครั้ง แต่ก็ได้รับการตอบสนองแบบไม่ค่อยเต็มใจ โดยเฉพาะ “เฟซบุ๊ก” เมื่อเทียบกับโซเชียลมีเดียเจ้าอื่นๆ
เรื่องนี้เห็นได้จาก สถิติตัวเลขที่ “กระทรวงดีอีเอส” ได้ดำเนินการส่งหนังสือถึงโซเชียลมีเดียต่างๆ แจ้งเตือนการติดตามการปิดกั้นตามคำสั่งศาล จำนวน 1,024 รายการ ชุดที่ 2 เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 63 ซึ่งครบกำหนด 15 วัน ในวัน 12 ก.ย. 63 ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ยังพบว่ามียูอาร์แอลที่ไม่ได้ปิดกั้นตามคำสั่งศาล โดยที่ “เฟซบุ๊ก” คงเหลือ 446 ยูอาร์แอล จากที่แจ้งให้ปิด 661 ยูอาร์แอล, “ยูทูบ” คงเหลือ 4 ยูอาร์แอล จากที่แจ้งให้ปิด 289 ยูอาร์แอล, “ทวิตเตอร์” คงเหลือ 65 ยูอาร์แอล จากที่แจ้งให้ปิดจำนวน 69 ยูอาร์แอล และเว็บไซต์อื่น คงเหลือ 1 ยูอาร์แอล จากที่แจ้งให้ปิดจำนวน 5 ยูอาร์แอล
เรียกว่า เฟซบุ๊ก นำโด่ง!
มิหนำซ้ำ นอกจากไม่กระตือรือร้นจะปิดกั้น ก่อนหน้านี้ “เฟซบุ๊ก ประเทศไทย” ยังได้อุทธรณ์คำสั่งศาล กรณีที่มีคำสั่งให้ปิดกั้นเว็บไซต์ หรือเพจที่ผิดกฎหมาย รอบแรกที่เฟซบุ๊กปิดกั้นหมดแล้ว
ฟังวา กระทรวงดีอีเอส ได้รับการแจ้งจากศาลให้ไปชี้แจงกรณีที่มีการอุทธรณ์คำสั่งศาล จำนวน 17 คดี ในเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่า เฟซบุ๊ก ไม่แคร์และไม่เคารพต่อกฎหมายไทย ทั้งๆ ที่เข้ามาเปิดบริการหารายได้ แสวงหาผลประโยชน์จากสังคมไทย โดยขณะที่สังคมไทยกำลังมีปัญหา “เว็บหมิ่น” ที่เกลื่อนกลาด แต่เฟซบุ๊กกลับไม่ได้แสดงออกว่าพร้อมจะช่วยเหลือเลย
ด้วยพฤติกรรมและเจตนาของเฟซบุ๊กแบบนี้นี่เอง จึงทำให้มีคนหลายคนมองตามทฤษฎีสมคบคิดที่น่าเชื่อได้ว่า “เฟซบุ๊ก” เป็นแพลตฟอร์มที่รู้เห็นเป็นใจให้ขบวนการสั่นคลอนสถาบันของไทย หรือ “ล้มเจ้า” โดยการเปิดพื้นที่ให้คนกลุ่มนี้อย่างเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ท่องคาถา “สิทธิเสรีภาพ” และ ปกป้องสิทธิในการแสดงออกทางความคิดของผู้ใช้บริการเฟซบุ๊ก ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่า เป็นเรื่องผิดกฎหมายของไทย
งานนี้เห็นว่า “พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สั่งการให้ฝ่ายกฎหมายของกระทรวง เอาจริงเอาจัง เตรียมการเพื่อชี้แจงเหตุผลที่ต้องขอคำสั่งศาลในการปิดกั้นเว็บไซต์ หรือเพจที่ผิดกฎหมายดังกล่าวตอบโต้เฟซบุ๊กเต็มที่
ไหนๆ ท้าทายกันมา ก็วัดกันไปเลย ก็เมื่อเฟซบุ๊กให้บริการในไทยยิ่งต้องเคารพกฎหมายไทย ว่ากันว่า “ดีอีเอส” กำลังจะดำเนินการ ส่งคำสั่งศาลปิดเว็บไม่เหมาะสมรอบที่ 3 อีก 3,097 ยูอาร์แอล แบ่งเป็น “เฟซบุ๊ก” 1,748 ยูอาร์แอล, “ยูทูบ” 607 ยูอาร์แอล, “ทวิตเตอร์” 261 ยูอาร์แอล และรายการอื่นๆ อีก 481 ยูอาร์แอล ทั้ง หมิ่นสถาบัน, ลามก, การพนัน, ยาเสพติด และการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งเจ้าของแพลตฟอร์มต้องดำเนินการปิดภายใน 15 วัน ไม่เช่นนั้น จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ มาตรา 27
แน่นอนว่า “เฟซบุ๊ก” จะต้องถูกจับตามองมากกว่า ยูทูบ หรือ ทวิตเตอร์ ว่าจะให้ความร่วมมือแค่ไหน แต่เฉพาะที่เกิดขึ้นแล้ว ขอไปแล้วไม่ยอมปิดกั้น เล่นท้าทายกันแบบนี้เป็นไฟต์บังคับ ที่ต้องสู้กันสักตั้ง
และล่าสุด ก็มีข่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม “พุทธิพงษ์” พร้อมฝ่ายกฎหมาย จะลุยเองในวันนี้ (24 ก.ย. 63) เข้าดำเนินการ แจ้งความเฟซบุ๊ก ยูทูบ และ ทวิตเตอร์ ที่ละเลยไม่ปิดกั้นยูอาร์แอล ที่ผิดกฎหมาย ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.)
งานนี้มีกองเชียร์ ชูมือเห็นด้วย ขอให้จัดหนักๆ กันไปเลย กวาดล้างให้โซเชียลมีเดียสะอาดซะบ้าง ย่อมดีต่อสังคมไทยอย่างแน่นอน
**เรื่องย้าย“โจ๊ก” เทียบกับ“ถวิล เปลี่ยนศรี”ไม่ได้ เพราะคนหนึ่งย้ายตามกฎหมายปกติ แต่อีกคนย้ายด้วยกฎหมายพิเศษ... ส่วนจะกลับไปใหญ่ที่ สตช.ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับลุงๆ ...“กิโดราห์” มังกร 3 หัวแต่ตัวเดียวกัน !!
หลังจาก “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มอบหมายทนายความส่วนตัว ไปยื่นฟ้อง “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต่อศาลปกครองกลาง กรณีออกคำสั่งย้ายโอนจากตำแหน่ง ผบช.สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) มาเป็นที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ทำให้หลายคนนึกเทียบเคียงกับกรณี “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เซ็นคำสั่งย้าย “ถวิล เปลี่ยนศรี” เลขาฯ สมช.ไป “เข้ากรุ” ที่ทำเนียบฯ เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ซึ่งต่อมา “ถวิล” ได้ไปร้องต่อศาลปกครอง ใช้เวลาสู้คดีกว่า 2 ปี จนในที่สุดศาลปกครองคืนความเป็นธรรมให้ “ถวิล” ได้กลับมาตำแหน่งเดิม ... จากนั้น “ไพบูลย์ นิติตะวัน” ก็ต่อยอดด้วยการยื่นฟ้อง “ยิ่งลักษณ์” ต่อศาลรัฐธรรมนูญ และศาลฯได้วินิจฉัยให้ “ยิ่งลักษณ์” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้เกิดสุญญากาศ แล้วจบด้วย คสช.เข้ามายึดอำนาจ...
แล้วกรณีของ “โจ๊ก” จะจบลงเหมือนกรณี “ถวิล” หรือไม่ !!
ขอย้อนเรื่องเก่า เล่าความหลังสักนิด... ที่ “ยิ่งลักษณ์” ต้องย้าย “ถวิล” ออกจากเลขาฯ สมช.เพราะต้นเหตุอยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งขณะนั้น “พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” เป็น ผบ.ตร. แต่ขณะเดียวกัน ก็มีความพยายามที่จะให้ “พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์” พี่ชาย “คุณหญิงอ้อ” พจมาน ณ ป้อมเพชร ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ก่อนเกษีณอายุราชการ เพื่อเป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูล จึงต้องย้าย “พล.ต.อ.วิเชียร” ไปนั่งเลขาฯ สมช. ต่อมาไม่นาน “ยิ่งลักษณ์” ก็เซ็นคำสั่งย้าย “พล.ต.อ.วิเชียร” อีกรอบ คราวนี้ให้ไปนั่งเป็นปลัดกระทรวงคมนาคม... เปิดทางให้ “พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร” มานั่งเก้าอี้เลขาฯ สมช.แทน...และ “พล.ท.ภราดร” ก็คือ หลานอาของ “ปรีดา พัฒนถาบุตร” ผู้ซึ่งชักนำ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่เป็นนายตำรวจติดตามในขณะนั้น เข้าสู่ถนนการเมือง...
ดังนั้น เมื่อมีการร้องเรียน เป็นคดีความ ทั้งศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญ จึงเห็นว่า คำสั่งย้าย “ถวิล เปลี่ยนศรี” เป็นไปเพื่อประโยชน์ของตัวเองและเครือญาติ ...จนนำไปสู่จุดจบของ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” !!
ส่วนกรณีของ “โจ๊ก” ที่ฟ้อง “ลุงตู่” ครั้งนี้ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี บอกว่าฟ้องได้ และก็ไม่ได้เป็นความผิดอะไรด้วย ...แต่จะไปเทียบกับกรณีของ “ถวิล เปลี่ยนศรี” ไม่ได้เพราะรายละเอียดแตกต่างกัน ใช้กฎหมายต่างกัน... ความหมายคือกรณี “ถวิล” เป็นไปตามกฎหมายปกติ แต่กรณีของ “โจ๊ก” เป็นไปตามคำสั่ง คสช. คือ เป็น “กฎหมายพิเศษ”
แล้ว “โจ๊ก” จะมีโอกาสได้กลับไป “ใหญ่” ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือไม่นั้น “วิษณุ” เลกเชอร์ให้ฟังว่า... ตามคำสั่ง คสช.ได้ระบุไว้ในบทเฉพาะกาล ซึ่งชื่อของ “พล.ต.ท.สุรเชษฐ์” อยู่ในบัญชีที่ 5 คนที่อยู่ในบัญชีนี้ หากจะกลับไปได้ก็ต่อเมื่อปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รายงานต่อนายกฯ หากนายกฯให้ความเห็นชอบ ก็นำความกราบบังคมทูลฯต่อไป ซึ่งหมายความว่า ช่องทางเปิดเอาไว้มี ...หากคิดว่าย้ายมาแล้วมานั่งนิ่งๆ ปีกว่าแล้วไม่เห็นมีการสอบอะไร ก็มีสิทธิที่จะร้องได้ ...คนอื่นเขาก็โวยกัน เพียงแต่ว่าไม่ได้ออกมาโวยกับสื่อเท่านั้น ... บางคนโวยแล้วได้ผล บางคนก็ไม่ได้กลับไป เพราะแต่ละคนมันมีเหตุผลอธิบายทั้งนั้น แต่ไม่อยากออกมาพูดกับสื่อ เพราะพูดไปแล้วอาจทำให้เจ้าตัวเสียหาย ปัญหามันมีอยู่แค่นี้เอง...ไม่มีหรอกที่จะลืม!!
หากศาลปกครอง มีคำสั่งออกมาอย่างหนึ่งอย่างใด นายกฯต้องรับผิดชอบหรือไม่ นั่นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างย้าย “ถวิล เปลี่ยนศรี” ต้องไปดูว่าตอนนั้นไปย้ายเขาอย่างไร “พล.ต.ท.สุรเชษฐ์” มาโดยอะไร มันคนละกรณีกัน และก็ไม่เหมือนกับกรณี “พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา” ด้วย... บางคนอาจต้องมาด้วยความผิด แต่คนไม่ต้องมีความผิดก็สามารถย้ายมาได้ อย่างเช่นย้ายมาตาม มาตรา 44
...เป็นอันว่าความหวังที่ “บิ๊กโจ๊ก” จะกลับไปใหญ่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ใช่ว่าจะถูกปิดตายเสียทีเดียว เพราะก่อนหน้านี้เขาก็เคยสร้างผลงาน เป็นมือเป็นไม้ให้บรรดาลุงๆ และการถูกย้ายครั้งนี้เจ้าตัวน่าจะรู้ดีที่สุดว่ามีสาเหตุมาจากอะไร ...ขณะที่ “ลุงตู่” พูดถึงเรื่องที่ถูกฟ้องโอนย้ายไม่เป็นธรรม ว่า ...มีการตรวจสอบกันแล้วถึงได้ดำเนินการ เมื่อฟ้องแล้วก็ปล่อยให้ฝ่ายกฎหมายว่ากันไป...ตอบแบบสบายๆ เหมือนจะบอกว่า ก็ย้ายด้วยคำสั่ง คสช. แล้วจะมาฟ้องร้องอะไร
ขณะที่ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็บอกว่า ไม่ได้เจอกันตั้งนานเป็นปีแล้ว และคงจะไม่เรียกมา คุยถือเป็นเรื่องส่วนตัว...
หลังจากนี้ ชะตากรรมของ “โจ๊ก” จะเป็นอย่างไรก็คงขึ้นอยู่กับบรรดาลุงๆ จะตัดสินใจ ...ซึ่งเป็นเรื่องที่เดายาก ก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ ว่ารัฐบาลนี้ก็เหมือน “กิโดราห์” มังกร 3 หัวแต่ตัวเดียวกัน !!