หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
ต้องยอมรับว่าสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และปวิณ(สุรชัย) ชัชวาลย์พงศ์พันธ์ประสบความสำเร็จในการหว่านพืชพันธุ์ในหมู่คนรุ่นใหม่นักเรียนนักศึกษาเยาวชนจำนวนมาก ผมไม่ค่อยติดตามปวิณนอกจากอ่านตามข่าวสารเพราะออกไปแนวเหน็บแหนมประชดประชัน แต่สำหรับสมศักดิ์ พบว่ามีคนติดตามเขาจำนวนมาก การแสดงความเห็นแต่ละครั้งเรียกไลค์และการเข้าไปแสดงความคิดเห็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน
แม้คนที่ติดตามและแสดงความเห็นในเฟซบุ๊กของสมศักดิ์ ส่วนใหญ่จะใช้นามแฝงเป็นอวตารก็ตาม
สมศักดิ์พยายามกระตุ้นให้นักการเมืองเอาแนวคิดลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยภายใต้ความคิดของเขาไปพูดต่อสาธารณะไปพูดต่อสภา แต่ยังไม่มีใครกล้าที่จะสื่อสารออกมาตรงๆ อย่างเก่ง ปิยบุตร แสงกนกกุล ก็ทำได้แค่ความเห็นที่อิงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ต่างประเทศ หรือฉายบทเก่าเรื่องการปฏิวัติฝรั่งเศสเพื่อกระทบกระเทียบออกมาเท่านั้น
แต่ต้องยอมรับว่าความคิดของปิยบุตรและธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ก็คงเป็นทำนองเดียวกันกับสมศักดิ์นั่นแหละ เห็นได้ชัดจากหนังสือฟ้าเดียวกันที่ธนาธรเป็นนายทุน และการพูดจาผ่านบทสัมภาษณ์ที่มีนัยท้าทายของเขา
เด็กนักเรียนนักศึกษาคนรุ่นใหม่ที่ติดตามสมศักดิ์และปวิณก็เป็นคนกลุ่มเดียวที่นิยมอดีตพรรคอนาคตใหม่หรือพรรคก้าวไกลในปัจจุบัน แม้ว่า ปวิณจะมีความขัดแย้งกับพรรคอนาคตใหม่ธนาธร ปิยบุตรที่เริ่มมาจากเฌอปราง bnk48 แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ก็ยังแยกแยะศรัทธาเหนือความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายแบบให้ความเคารพผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายได้
ข้อเสนอ 10 ข้อบนเวทีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น เป็นข้อเสนอที่ถูกส่งมาจากสมศักดิ์อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเป็นความคิดของสมศักดิ์ที่เคยแสดงผ่านเฟซบุ๊กมาก่อน ผมไม่รู้ว่าคืนนั้นหลังเวทีจะรับรู้เรื่องนี้ทั้งหมดมาก่อนหรือไม่ แต่เมื่อมีคนกล้าขึ้นมาพูดต่อสาธารณะก็ทำให้ความฝันของสมศักดิ์เป็นจริงในระดับหนึ่งแล้ว
บนเวทีวันนั้นปวิณออกหน้าผ่านจอมาเป็นคลิป แต่สมศักดิ์ก็คือ การยืมปากของเด็กสาวนาม “รุ้ง” นั่นเอง มีคนหลายคนบอกว่า สมศักดิ์อาจจะไม่สะดวกจากอาการป่วย แต่ผมว่าไม่ใช่เพราะสมศักดิ์เคยไลฟ์สดมาแล้วหลังการพักฟื้น และคลิปแบบนี้สามารถเตรียมการได้ แต่สมศักดิ์ก็โหดเหี้ยมกับเด็กให้เขารับชะตากรรมที่จะตามมา แม้เธออาจจะอาสาด้วยความกล้าหาญก็ตาม แต่ในฐานะผู้ใหญ่ที่เคยประสบชะตากรรมมาก่อนก็ควรจะนึกถึงผลลัพธ์ที่ตามมากับเธอ ในขณะที่ตัวเองหนีไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ
วันนี้สมศักดิ์ กับปวิณอาจจะมีความสุขที่เห็นนักเรียนนักศึกษาพากันชูสามนิ้วท้าทายอำนาจเก่าไปทั่วทุกหัวระแหง แต่สมศักดิ์ต้องไม่ลืมว่า มีคนไทยจำนวนมากที่ยังคงศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และมองเห็นว่าบ้านเมืองยังจำเป็นต้องมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องค้ำจุน ไม่ใช่เรื่องใครผิดใครถูก เพราะเขาก็มีเสรีภาพของเขาเหมือนที่สมศักดิ์และปวิณใช้เสรีภาพและกระตุ้นให้เด็กใช้เสรีภาพ แน่นอนว่าผลพวงนั้นจะตกอยู่กับคนที่อยู่ในประเทศไม่ใช่คนที่อยู่ต่างประเทศอย่างสมศักดิ์และปวิณ
สมศักดิ์กับปวิณอาจจะบอกว่า เด็กเขามีสิทธิ์ที่จะเชื่อและศรัทธาในตัวเองและเขามีสิทธิ์แสดงออกต่อสิ่งที่เขาศรัทธา แต่ในฐานะเป็นผู้นำความคิดสมศักดิ์ก็ต้องนึกถึงที่พวกเขาต้องเสี่ยงกับกฎหมายบ้านเมือง เพราะทุกรัฐในโลกนี้ก็ต้องมีเครื่องมือในการปกป้องระบอบของรัฐจากคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงและโค่นล้มอำนาจเดิม
แม้ผู้ชุมนุมจะพยายามพูดว่า การกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นไปด้วยความเคารพและต้องการให้สถาบันพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ต่อไป แต่ใครก็ดูออกว่าจุดมุ่งหมายที่แท้จริงไปไกลกว่านั้นถ้าเขาเปิดประตูบานแรกสำเร็จ
ผมไม่รู้เหมือนกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีจะตระหนักต่อเรื่องนี้แค่ไหน เขาจะมองนักเรียนนักศึกษาคนหนุ่มสาวที่กระด้างกระเดื่องด้วยสายตาอย่างไร เขาจะรู้ไหมว่า ตัวเองนั้นวันนี้ก็กลายเป็นเงื่อนไขของความขัดแย้งในแผ่นดินไปแล้ว จากวันแรกที่ใครต่อใครคาดหวังจะเข้าแก้วิกฤตของบ้านเมือง
พล.อ.ประยุทธ์จะรู้ไหมว่า ปัญหาที่ลุกลามจนลามไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น มาจากการออกแบบรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นธรรมออกมาเพื่อให้ตัวเองสามารถสืบทอดอำนาจต่อไปได้ และปกครองประเทศแบบอำนาจนิยม จนเกิดความชอบธรรมให้กับข้อเสนอ 3 ข้อที่กลุ่มผู้ชุมนุมออกมาเรียกร้องคือ หยุดคุกคาม ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และยุบสภา
ผมไม่รู้หรอกว่า เหตุผลลึกๆ ที่พล.อ.ประยุทธ์เขียนรัฐธรรมนูญเพื่อสืบทอดอำนาจคืออะไร แต่ที่มันเห็นชัดก็คือ มันเกิดความไม่เสมอภาคและเท่าเทียมกันในการแข่งขันตามกติกาของระบอบประชาธิปไตยที่ต้องมีความเสมอภาคเท่าเทียมกันเป็นหัวใจสำคัญ กระทั่งทำให้บาดแผลของสังคมร้าวลึกลงไปยิ่งกว่าเก่าจนเหตุการณ์บานปลายไปกว่าที่คาดว่าเราจะได้พบเจอในวันนี้
และหวังว่า พล.อ.ประยุทธ์น่าจะพอมีสติปัญญาที่มองเห็นได้ว่า ทางไหนที่จะเป็นทางออกที่จะคลี่คลายวิกฤตของบ้านเมือง
สำหรับผมแล้วผมเห็นด้วยกับข้อเสนอ 3 ข้อของผู้ชุมนุม เพราะคิดว่า นี่เป็นหนทางที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรงที่เราจะขานรับถ้ามันจะทำให้ชาติบ่านเมืองกลับมาสู่สันติสุข มาสู้กันบนกติกาที่เป็นธรรม และคิดว่ามันจะเป็นเหตุที่จะดับชนวนความขัดแย้งที่จะบานปลายไปสู่สถาบันพระมหากษัตริย์ได้แม้จะมีบางสิ่งบางอย่างที่อาจจะต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยก็ตาม
สำหรับข้อเสนอเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 165 ของ ส.ว.คำนูณ สิทธิสมาน ถ้าจะทำก็ทำไปเถอะครับคือดีกว่านิ่งเฉย แต่ด้วยความเคารพต่อคุณคำนูณ ผมเห็นว่าแม้จะเป็นเจตนาที่ดีที่ทำให้สภาซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนนำปัญหาซึ่งเป็นวิกฤตของประเทศมาพูดกันในสภาแต่ผมคิดว่าไม่น่าจะส่งผลอะไรมากนัก
เพราะเรารับรู้กันอยู่แล้วว่ากลุ่มคนที่ออกมาเคลื่อนไหวนั้นเขาไม่ยอมรับกระบวนการทางสภาจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ซ้ำยังไม่คิดว่าสมาชิกวุฒิสภาเป็นตัวแทนของประชาชนแต่เป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหารซึ่งเป็นเป้าหมายที่เขาต้องการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้นต้องย้ำว่าทางออกคือเราต้องยอมรับว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้สภานิติบัญญัติชุดนี้และรัฐบาลนี้คือใจกลางของปัญหาที่เขามองว่าไม่เป็นประชาธิปไตยจึงมีข้อเรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ไม่ใช่ปัญหาตัวบุคคล
ถ้าจะมีปัญหาตัวบุคคลก็จะมีแต่ พล.อ.ประยุทธ์นายกรัฐมนตรีซึ่งมีมวลชนกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมและเป็นผนังทองแดงให้นั้นเพราะเขาเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่างมาเพื่อตัว พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประยุทธ์จะรับรู้ไหมว่าตัวเองก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหานั่นแหละ
จริงอยู่ตามสภาพธรรมชาติของผู้ชุมนุมนั้นไม่สามารถทำอะไรได้แม้คนจะออกมาเป็นแสนเป็นล้านถ้ารัฐบาลจะเพิกเฉยเสียเหมือนม็อบของกำนันสุเทพถ้าทหารไม่ออกมาปฏิวัติก็ยากที่จะโค่นล้มรัฐบาลลงได้ม็อบของนปช.ที่คิดว่าตอนนั้นจะเป็นชัยชนะใหญ่แล้ว แต่ก็พ่ายแพ้อย่างย่อยยับแล้วยิ่งสภาพที่ประชาชนแตกเป็นสองฝ่ายคานกันแบบนี้ก็ยากที่จะนำไปสู่สภาวะที่เรียกว่า “ประชาชนปฏิวัติ” ได้
แต่สิ่งที่จะมาคือสภาพรัฐล้มเหลวรัฐบาลขาดเสถียรภาพไม่สามารถปกครองได้ซึ่งจะมีผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสังคมตามมาเพราะประชาชนกลุ่มหนึ่งจะไม่เชื่อฟังรัฐบาลและดื้อแพ่งแม้แต่ต่อกฎหมายบ้านเมืองและเห็นชัดว่าจะบานปลายกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ทางออกที่ดีที่สุดที่มองเห็น ณ ตอนนี้คือการกระตือรือร้นและจริงจังที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยซึ่งผมเห็นว่าทางออกที่ทำได้คือการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา256ให้รัฐธรรมนูญแก้ง่ายขึ้นแล้วแก้บทเฉพาะกาลตัดอำนาจ ส.ว.ที่ให้โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ออกไปแล้วกลับไปเลือกตั้งกันใหม่ใช้มือส.ส.ของพรรคที่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลทำแค่นี้เองครับข้อห้ามในการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยก็จะหมดไป
แล้วผมเชื่อว่าข้อเสนอ 10 ข้อที่สมศักดิ์เขียนให้นักศึกษามาพูดต่อสาธารณะนั้นก็จะหมดพลังลงเพราะคนส่วนใหญ่เห็นว่าข้อเสนอเหล่านั้นจะนำความรุนแรงมาสู่สังคมไทยไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะก็ตาม
วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ คงจะเข้าใจว่า นักเรียนนักศึกษาเกือบทั้งหมด คนหนุ่มสาวจำนวนมากตกอยู่ใต้อิทธิพลความคิดของสมศักดิ์ ปวิณที่อยู่ต่างประเทศ และกำลังหลอมรวมกับคนเสื้อแดงที่เป็นมวลชนของระบอบทักษิณ หลอมรวมกับคนที่ชิงชังเผด็จการทหาร การเข้ามาอย่างไม่ชอบธรรมของพล.อ.ประยุทธ์ทำให้การเคลื่อนไหวของพวกเขาชอบธรรม ต้องคิดให้ได้ว่าจะทำอย่างไรให้ความขัดแย้งนี้อยู่แค่ประเด็นทางการเมืองแล้วหาทางดับวิกฤตนั้นเสียก่อนจะลุกลามไปอย่างคาดไม่ถึง
แน่นอนว่า ม็อบนักศึกษาต้องมีคนบางคนอยู่เบื้องหลัง เพราะการชุมนุมแต่ละครั้งต้องใช้ทุนรอนจำนวนมาก แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับประเด็นที่เขาเคลื่อนไหวชอบธรรมหรือไม่และต้องคิดถึงผลที่จะตามมาที่เราจะต้องยับยั้งไม่ให้ลุกลามไปให้ได้
ดูจากท่าทีของพล.อ.ประยุทธ์อาจเชื่อมั่นว่าม็อบจะทำอะไรรัฐบาลไม่ได้ เพราะตัวเองก็มีมวลชนหนุนหลัง แต่ต้องคิดให้ได้ว่าหากปล่อยให้ประเทศขัดแย้งแบบนี้ต่อไปจะเกิดผลอย่างไรตามมา เพราะสิบกว่าปีของความขัดแย้งนั้นเป็นเพียงความขัดแย้งระหว่างประชาชนที่มีจุดยืนทางการเมืองแตกต่างกัน แต่วันนี้มันบานปลายไปสู่ระบอบของรัฐไปแล้ว
ไม่ว่าคนหนุ่มสาวนักเรียนนักศึกษาจะตกอยู่ใต้ความคิดของใคร หรือจะมีใครหนุนหลัง แต่รัฐบาลอย่าคิดเชียวว่า เพิกเฉยเสียไม่สนใจข้อเรียกร้องม็อบก็อาจจะทำอะไรรัฐบาลไม่ได้ เพราะเราจะอยู่กันแบบนี้ไม่ได้ คนที่กำลังแสดงท่าทีท้าทายต่ออำนาจรัฐล้วนแล้วแต่เป็นอนาคตของประเทศ เราจะทิ้งความขัดแย้งนี้เอาไว้ไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ย่อมจะเห็นปัญหาจากตัวเองที่ต้องสร้างเส้นทางให้ได้อยู่ในอำนาจและสร้างกติกาที่บิดเบี้ยวจนกลายเป็นเงื่อนไขของความขัดแย้งในวันนี้
และพล.อ.ประยุทธ์ต้องคิดให้ได้ว่าจะปล่อยให้สมศักดิ์และปวิณชักนำคนหนุ่มสาวไปหรือจะปลดปล่อยประเทศให้กลับมาสู่สันติสุขด้วยตัวเอง
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan