จับตาการก้าวเดินของ ‘ม็อบปลดแอก’ ที่มีคนเดือนตุลาฯ เป็นพี่เลี้ยงกำหนดยุทธศาสตร์ ‘รุก-ลากยาว’ ยอมรับเยาวชนรุ่นใหม่ เก่ง-กล้า! พร้อมจับมือคนไทยที่เป็นนักเคลื่อนไหวในต่างประเทศ เพื่อนำไปสู่เป้าหมาย ‘3 ข้อ’ 2 เงื่อนไข และ 1 ความฝัน ยอมรับยุคนี้ต่อสู้ไม่ยากเหมือนสู้กับ ‘ป๋าเปรม’ ที่มากบารมี เป็นทั้งนักยุทธศาสตร์ ขุมกำลังเพียบ ปัจจุบัน ‘บิ๊กตู่-บิ๊กแดง’ เทียบไม่ติด ชี้ม็อบจุดติดแล้ว แต่พลังยังไม่มากพอ ‘รอคนจน-ตกงาน’ เข้าร่วม ส่วนนักการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้าน หนุนแก้รัฐธรรมนูญแน่จะมีแต่ทหาร-ส.ว.ที่จะคัดค้านเพราะกลัวสูญเสียอำนาจหรือไม่?
ปรากฏการณ์การเคลื่อนไหวของนักเรียนนิสิต นักศึกษากลุ่มต่างๆ ที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มเยาวชนปลดแอก กำลังรุกคืบไปทั่วประเทศโดยขีดเส้นตายให้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องตัดสินใจตามข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ หยุดคุกคาม-ร่างรัฐธรรมนูญใหม่-ยุบสภา ภายใต้ 2 เงื่อนไขไม่มีการรัฐประหารและไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ พร้อม 1 ความฝันคือ ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ส่วนการเคลื่อนไหวครั้งนี้จะนำไปสู่ความรุนแรงคล้ายเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หรือ 6 ตุลาคม 2519 หรือไม่? เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายไม่ต้องการให้เกิดขึ้น
แต่ที่น่าสนใจจากการบอกเล่าของนักยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม และ 14 ตุลาคม ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกำลังนำไปสู่จุดที่เรียกว่า ‘ต้องโค่นกันแล้ว’ และบรรดาแกนนำที่เคลื่อนไหว แต่ไม่มีการเปิดตัวนั้นก็รู้ว่า ‘ใคร’ ใช้ความรุนแรงก่อนฝ่ายนั้นแพ้แน่!
อย่างไรก็ดี ในการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ นั้นจะมีพี่เลี้ยงก็คือกลุ่มคนที่เป็นนักเคลื่อนไหวหรือกลุ่มคนเดือนตุลาฯ และรุ่นหลังๆ ที่มีประสบการณ์คอยทำหน้าที่ประเมินวิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อให้การเคลื่อนไหวของนิสิต นักศึกษา และนักเรียนนำไปสู่เป้าหมายได้อย่างปลอดภัยที่สุด
“พวกเราจะออกหน้าไม่ได้ ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของเด็กๆ เพราะบางครั้งสิ่งที่เด็กๆ แสดงออกเป็นวิธีการ Social Sanction ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ชูสามนิ้ว ผูกโบสีขาว ซึ่งผู้ใหญ่ยุคเราทุกอย่างเป็น Format มากเกินไป ก็ต้องดูต่อไปว่าเด็กๆ จะมีอะไรออกมาอีก”
ที่แน่ๆ กลุ่มนักศึกษาที่มีการเคลื่อนไหวรู้และเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองเรียกร้อง และรู้จักคำว่า ‘รอ’ ว่าเวลาไหนที่จะทำให้ ‘พลังของพวกเขา’ มีเพียงพอที่จะทำให้ข้อเรียกร้องต่างๆ เป็นจริงได้
หากจะเปรียบเทียบเรื่องของการต่อสู้ จะเห็นว่าการเคลื่อนไหวในยุคเดือนตุลาฯ 2516 และ 2519 กับม็อบเยาวชนปลดแอกในปี 2563 มีความเหมือนเพียงเป็นพลังของนักเรียน นิสิต นักศึกษา แต่มีความต่างในเรื่องของคู่ต่อสู้อย่างมาก
“ทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็เปลี่ยนเจเนอเรชัน ยุคนั้นต้องสู้กับป๋าเปรม (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์) ซึ่งเป็นนักยุทธศาสตร์วางกลไกเก่ง มีบารมีมาก คุมกำลังพลไว้เยอะ การต่อสู้จึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก แต่ยุคนี้อำนาจและขุนทหารไม่เหมือนยุคป๋าเปรม มองเห็นแล้วว่า บิ๊กตู่ และ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.สู้ป๋าเปรมไม่ได้เลย”
ด้วยประสบการณ์การเคลื่อนไหวที่คนเดือนตุลาฯ ยอมรับว่า การต่อสู้ในยุคป๋าเปรม เหนื่อยและสาหัสมากจากความนิ่ง และกล้าที่จะเด็ดขาดไม่ว่าจะทำอะไร ทุกอย่างมั่นคงและชัดเจน ทำให้ยุคเราซึ่งไม่มีพี่เลี้ยงจึงเดินเกมต่อสู้ด้วยความยากลำบาก
ปัจจุบันการเคลื่อนไหวของเยาวชนปลดแอก ซึ่งเป็นเด็กเก่ง กล้าและรู้จักใช้ Social Media มีพวกเราซึ่งมีประสบการณ์เป็นพี่เลี้ยง ประกอบกับความไม่เก่งของขุนทหารยุคนี้ทำให้การวางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีไม่ลำบาก
อีกทั้งด้วยเทคโนโลยี และ Social Media ที่เชื่อมโยงผ่านทาง Social Network ที่ให้บริการบนโลกออนไลน์ ซึ่งใช้การสื่อสารผ่านทาง Internet และโทรศัพท์มือถือ ปรากฏเป็นภาพและเสียงแบบสดๆ ได้ทันที จึงเป็นเรื่องที่ง่ายที่จะเชื่อมต่อไปทั่วโลก ให้รับรู้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทย
ดังนั้น การเคลื่อนไหวของม็อบปลดแอก จึงมีพลังและทำให้รัฐบาลหรือกองทัพจะจัดการอะไรยาก ตราบใดที่กลุ่มพลังเหล่านี้จัดการชุมนุมแบบแฟลชม็อบ ไม่ปักหลักค้างคืน ก็จะไม่เป็นจุดอ่อนให้เกิดความรุนแรงได้
“อย่างกรณีเพนกวิน ที่หลายคนกลัวว่าจะโดนสไนเปอร์ เชื่อเถอะรัฐบาล หรือทหาร ไม่ทำแน่นอน เพราะรัฐบาลก็รู้ว่าใครเปิดเกมรุนแรงก่อนคนนั้นพ่าย”
คนเดือนตุลาฯ เล่าอีกว่า จุดแข็งของม็อบปลดแอก ยังอยู่ที่ว่าคนเหล่านี้มีการสื่อสารเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนกับนักเคลื่อนไหวที่เป็นอดีตนักศึกษา ปัญญาชน จำนวนเป็นหลายร้อยคนที่ถูกบีบจากรัฐบาลยุคนั้นจนต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ ประสานเป็นพันธมิตรกัน
“กลุ่มพันธมิตรในต่างประเทศก็จะช่วยในการตีข่าวที่ปรากฏใน Social Media ได้อย่างดี ส่วนพวกเราที่อยู่ที่นี่ ก็เป็นพี่เลี้ยงเวลามีปัญหาจะได้ช่วยแก้เกมให้ทัน และพวกเราก็จะมีหน้าที่ทำงานการข่าว Support ให้ แต่เราไม่ได้ไปร่วมชุมนุม”
ดังเช่นในการชุมนุมแต่ละครั้งตำรวจสันติบาลก็จะรายงานเพียงว่า วันนี้มีผู้เข้าร่วมชุมนุมเท่าไหร่ ซึ่งดูจากรายงานของตำรวจจะใช้คำว่าหลัก 200-300 คน หรือที่ ‘ธรรมศาสตร์จะไม่ทน’ ก็ประเมินแค่ 2,500 คน แต่ในความเป็นจริงโลกยุคใหม่จะประเมินเพียงตัวเลขแค่นั้นไม่ได้ เราต้องดูพลังของ Social Media ในแต่ละครั้งว่ามีคนเข้ามาชมเท่าไหร่ ทั้งกดไลก์ กดแชร์ คอมเมนต์ หรือถ้าลงช่องยูทูปมียอดวิวต่อคลิปกี่ร้อยล้านวิว เราก็จะรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ได้รับการตอบรับอย่างไร เพื่อจะนำไปปรับยุทธศาสตร์ในการก้าวเดินต่อไป
“ตอนนี้ม็อบปลดแอกจุดติดแล้ว เรามีข้อมูลตัวเลขวิเคราะห์เห็นตัวเลขเป็น 10 ล้านแล้ว ทั้งที่ตอนชุมนุมที่ใช้คอนเซ็ปต์ธรรมศาสตร์จะไม่ทน เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ตอนนั้นม็อบนักศึกษาเพลี่ยงพล้ำมาก สังคมโจมตีรุนแรง จากการปราศรัยที่ไปเกี่ยวข้องกับสถาบัน แต่ในที่สุดเราก็ผ่านมาได้ สิ่งเหล่านี้คือความจำเป็นต้องมีพี่เลี้ยงไว้ช่วยในการแก้เกม”
คนเดือนตุลาฯ บอกอีกว่า ปัจจุบันการเคลื่อนไหวของนักศึกษานั้น เมื่อจุดติดแล้ว จำเป็นจะต้องใช้จังหวะและเวลานี้ในการลากยาวด้วยการใช้วิธีการชุมนุม ปราศรัย ทำความเข้าใจกับสังคมไปเรื่อยๆ ไม่ค้างคืน จนกว่าจะถึงช่วงปลายกันยายน ถึงเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้
วิธีการลากยาวจึงเป็นการต่อสู้ที่ดีที่สุด เพราะวันนี้พลังนักเรียน นักศึกษาที่มีอยู่ยังไม่มากพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามข้อเรียกร้อง จึงจำเป็นที่จะต้องรอ ‘กำลังพล’ จำนวนมากที่กำลังประสบปัญหาจากการบริหารงานของรัฐบาลบิ๊กตู่
“พวกเราประเมินจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะย่ำแย่มาก คนจะตกงานเพิ่มอีกมาก ไตรมาส 3 แบงก์จะเจอหนี้เสียมาก เงินออมที่คนใช้แรงงานมีอยู่เพียงน้อยนิด หลังจากพิษโควิด-19 ที่ตกงานกันมากมาย รัฐบาลช่วยมา 3 เดือน จะมีชีวิตอยู่รอดได้ไม่เกินกันยายนนี้ คนพวกนี้แหละจะเป็นพลังสำคัญที่จะทำให้ม็อบปลดแอกบรรลุเป้าหมายได้ เพราะคนจะอดตาย ก็ต้องออกมาร่วมขับไล่รัฐบาลแน่”
อย่างไรก็ดี การเพลี่ยงพล้ำจากกรณี ‘ธรรมศาสตร์จะไม่ทน’ ซึ่งมีการรวมตัวกันที่ลานพญานาค สามารถตีกลับมาได้นั้น เกิดจาก 120 คณาจารย์มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ลงนามและออกแถลงการณ์หนุนข้อเรียกร้องของม็อบธรรมศาสตร์ ถือเป็นการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นสุจริต และเป็นไปดังบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 34 สอดคล้องต่อหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ทำให้กระแสที่ติดลบเวลานั้นออกมาดีขึ้น
ส่วนสถานการณ์ ‘จุดติด’ ของม็อบอีกครั้งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ส.ค.ที่กลุ่มนิสิตจุฬาฯ ใช้ชื่อว่า กลุ่มคณะจุฬาฯ และสปริงมูฟเมนต์ ที่ชุมนุมแบบแฟลชม็อบ และมีนักเรียนเตรียมอุดมศึกษาเข้าร่วม แม้ว่าทางสำนักบริหารกิจการนิสิตจุฬาฯ จะไม่อนุมัติให้จัดกิจกรรมภายในมหาวิทยาลัยก็ตาม แต่ในที่สุดกลุ่มสปริงมูฟเมนต์ ก็สามารถจัดปราศรัยในกิจกรรม ‘เสาหลักจะหักเผด็จการ’ ที่ลานหน้าอาคารมหาจักรีสิรินธร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ได้สำเร็จ
การปราศรัยวันนั้นยังทำให้สื่อต่างประเทศได้รับรู้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไปพร้อมๆ กัน เพราะนักศึกษาเหล่านี้สามารถสื่อกับนักข่าวต่างประเทศได้ทุกๆ ภาษาที่สื่อต่างประเทศต้องการ
“วันนั้นมีการประกาศไม่ปิดกั้นการแสดงออกของนักศึกษาและประชาชน ยังมีการเปิดโต๊ะให้ผู้ชุมนุมและประชาชนร่วมลงชื่อเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ครบ 50,000 ชื่อ ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงกล้าที่จะเข้าร่วมกิจกรรมการเคลื่อนไหวแล้ว”
ตรงนี้เป็นผลให้การชุมนุมเมื่อวันที่16 ส.ค.ที่ผ่านมา บริเวณรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ของคณะประชาชนปลดแอก มีคนเสื้อแดงเข้าร่วมชุมนุมกับนักเรียน นักศึกษา และประชาชนเป็นจำนวนมากกว่าที่ผ่านมา
“ม็อบเพลี่ยงพล้ำที่ธรรมศาสตร์ จึงโดนอีกฝ่ายตีกลับ ก็ได้อาจารย์เข้ามาช่วยยันไว้ได้ แล้วก็มาตีโต้ได้คืนที่จุฬาฯ และเมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยถือว่านิสิต นักศึกษา คณะประชาชนปลดแอก สามารถเอาคืนได้หมด”
ในวันที่ 18 ส.ค.ก็มีการชุมนุมของภาคีนักศึกษาศาลายามหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีกลุ่มไอลอว์ จัดพื้นที่ตั้งโต๊ะล่ารายชื่อให้ครบ 50,000 รายชื่อเช่นกัน และในวันที่ 19 ส.ค.ก็มีกลุ่มนักเรียนในนาม ‘นักเรียนเลว’ มาร่วมชุมนุมบริเวณหน้ากระทรวงศึกษาธิการ มีการชู 3 นิ้ว ผูกโบสีขาวเพื่อแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านเผด็จการ และยังมีการร่วมเป่านกหวีดเพื่อขับไล่นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาฯ อีกด้วย
คนเดือนตุลาฯ บอกอีกว่า สิ่งที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงชัดเจนจากนี้ไป คือบรรดาพรรคการเมืองและนักการเมืองที่เป็นนักเลือกตั้งจะเลือกให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่แน่นอน ทั้งภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคฝ่ายค้าน
ส่วนที่จะต่อต้านก็เป็นบรรดาทหาร ข้าราชการ และบรรดา ส.ว.ที่กลัวหมดอำนาจ และหากเกิดความจำเป็นรัฐบาลก็อาจจะเลือกใช้ความรุนแรงได้เช่นกัน
แต่การใช้ความรุนแรงจะไม่สามารถทำได้เหมือนในอดีตที่ผ่านมา เพราะจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจแย่ลงไปอีก รวมไปถึงทั่วโลกจับตาและอาจนำไปสู่การต่อต้านประเทศไทยได้เช่นกัน
สำหรับทางออกที่ดีที่สุดจะต้องมีการเจรจาเงื่อนไขต่างๆ เพื่อไม่ให้นำไปสู่ความรุนแรง ซึ่งเวลานี้ทีมข่าวกรองของรัฐบาลก็พยายามตรวจสอบว่า ‘ม็อบปลดแอก’ มีพลังสนับสนุนเท่าไหร่ แกนนำเป็นใครบ้าง ใครอยู่เบื้องหลัง และท่อน้ำเลี้ยงมาจากแหล่งไหนบ้าง
แต่ที่ชัดเจนที่สุดยังไม่มีการเปิดตัวแกนนำอีกหลายคนที่จะมีการส่งไม้ต่อกันในการขึ้นเวทีต่อไป...หากผู้ที่เปิดตัวแล้วมีปัญหาเกิดขึ้น!