xs
xsm
sm
md
lg

การสื่อสารการตลาดดิจิทัลบูรณาการและปฏิบัติการจิตวิทยาไซเบอร์ : ปลุกเยาวชนไทยให้เหมือนยุวชนเขมรแดงและเรดการ์ด ถาวรหรือแค่สายลมแห่งพายุบุแคม?

เผยแพร่:   โดย: ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence
และ Actuarial Science and Risk Management
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

พลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของคนหนุ่มสาวเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม และน่าชื่นชมมากยิ่งขึ้นไปอีกหากเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตของบ้านเมือง อย่างไรก็ตามพลังของคนหนุ่มสาวอันเต็มเปี่ยม แต่ก็ขาดความรู้ความเข้าใจโลก ขาดประสบการณ์ชีวิต ข้อนี้ นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ได้เคยเขียนเอาไว้ใน “จากรัฐบุรุษอาวุโสชี้ทางรอดของไทย” เมื่อปี 2514 ความว่า

"ในปี ค.ศ.1925 เมื่อเราเริ่มจัดตั้งกลุ่มแกนของพรรคอภิวัฒน์ในปารีส ข้าพเจ้ามีอายุเพียง 25 ปี เท่านั้น หนุ่มมาก หนุ่มทีเดียว ขาดความจัดเจนแม้ว่าข้าพเจ้าได้รับปริญญาแล้วและได้คะแนนสูงสุด แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าทางทฤษฎี ข้าพเจ้าไม่มีความจัดเจน บางครั้งข้าพเจ้าประยุกต์ทฤษฎีอย่างนักตำรา ข้าพเจ้าไม่ได้นำความเป็นจริงในประเทศของข้าพเจ้ามาคำนึงด้วย ข้าพเจ้าติดต่อกับประชาชนไม่พอ ความรู้ทั้งหมดของข้าพเจ้าเป็นความรู้ตามหนังสือ ข้าพเจ้าไม่ได้เอาสาระสำคัญของมนุษย์มาคำนึงด้วยให้มากเท่าที่ข้าพเจ้าควรมี ในปี ค.ศ.1932 ข้าพเจ้าอายุ 32 ปี พวกเราได้ทำการอภิวัฒน์ แต่ข้าพเจ้าก็ขาดความจัดเจน และครั้นข้าพเจ้ามีความจัดเจนมากขึ้น ข้าพเจ้าก็ไม่มีอำนาจ"

เริ่มต้นเมื่อพูดกันเช่นนี้ว่าแม้แต่ผู้อภิวัฒน์อย่างนายปรีดี พนมยงค์ ก็ยอมรับในความผิดพลาดของตัวเองที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงประเทศในวัยเยาว์ วัยรุ่นก็จะไม่ฟังสิ่งที่เราจะพูดอยู่แล้ว

ยิ่งถ้าพูดว่าเด็กหรือวัยรุ่นถูกหลอกใช้ วัยรุ่นยิ่งรับไม่ได้ และถ้าบอกว่าให้ไปทางซ้าย วัยรุ่นก็จะไปทางขวา ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ

วัยรุ่นคือโคนันทวิศาล หากพระอิศวรต้องการให้มันทำอะไรต้องพูดกับมันดี ๆ อย่าเอาปฏักไปแทงมัน อย่าตะคอกใส่มัน เป็นเช่นนั้น

เป็นธรรมชาติของวัยรุ่นที่ไม่ต่างอะไรกับโคนันทวิศาล ต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ให้เกียรติ รับฟัง และค่อย ๆ เข้าใจและเปลี่ยนความคิดหรือให้เขาคิดเองได้ทีละเล็กละน้อย

วัยรุ่นเป็นวัยคะนอง และกำลังต่อต้านสังคม การต่อต้านสังคมทำให้วัยรุ่นได้รับการยอมรับจากเพื่อน ได้เท่ ต่อต้าน ฝ่าฝืน อยากเป็นตัวของตัวเอง พยายามสร้างอัตลักษณ์ (Identity) ของตัวเอง สำหรับวัยรุ่นในวัยแสวงหา เป็นเรื่องปกติ และการได้รับการยอมรับที่ง่ายที่สุดก็คือการทำตัวเด่นเพื่อต่อต้านสังคม ซึ่งทำได้ง่ายกว่าการสอบให้ได้ที่หนึ่งของประเทศไทยหรือการเขียนเรียงความ/การประกวดร้องเพลง/การถ่ายรูปประกวดให้ได้ที่หนึ่งของประเทศไทย เพราะของเหล่านี้ต้องใช้ฝีมือและความพยายามมากกว่ามาก

บทความนี้ไม่ได้ต้องการให้วัยรุ่นอ่าน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์โน้มน้าวให้วัยรุ่นเข้าใจหรือตาสว่างแต่อย่างใด เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ได้ผล แต่เป็นบทความที่ต้องการชี้แจงให้ผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับวัยรุ่นทั้งหมดในประเทศไทยได้เข้าใจปรากฏการณ์สายลมพายุบุแคมที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยในขณะนี้ว่า

ประการแรก ปรากฏการณ์สายลมพายุบุแคม ที่เห็นนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการชั่วคราว แม้จะรุนแรง ก้าวร้าว หยาบคาย เย่อหยิ่ง ดูแล้วน่าหมั่นไส้ ก็ขอให้ครู อาจารย์ พ่อแม่ ผู้ปกครอง และผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองได้โปรดเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นตามวัยและประสบการณ์ และกระแสสังคมจะตีกลับอย่างรุนแรงในที่สุดเสมอ ไม่ช้าก็เร็ว

ในอดีตก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว คราวเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 การที่นิสิต/นักศึกษาออกมาต่อสู้กับเผด็จการทหารที่ฉ้อฉลทำให้ได้รับการยกย่องยอมรับว่าเป็นพลังอันบริสุทธิ์ ไปเดินขบวนที่ไหน แม่ค้าก็หอบเอาข้าวปลาอาหาร ส้มสูกลูกไม้มาแจกนิสิตนักศึกษาได้กินกัน ขบวนการนิสิตนักศึกษาเฟื่องฟูเบิกบานเต็มที่ ได้รับการต้อนรับ และฝ่ายนิสิต/นักศึกษาเป็นฝ่ายชนะ นิสิต/นักศึกษาใน 14 ตุลาคม 2516 มีความเชื่อมั่นศรัทธาในสถาบันพระมหากษัตริย์ หนีตายว่ายน้ำข้ามคลองไปเกาะรั้วพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ขอพระบารมีและพระมหากรุณาธิคุณเป็นที่พึ่ง และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรก็ทรงสั่งให้เปิดรั้วพระราชวังให้นักศึกษาที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นได้พึ่งพระบารมี

หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ขบวนการนิสิตนักศึกษาเบ่งบานและกลายเป็นซ้ายจัด มีการจัดตั้งและมีการอุดหนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยและต่างชาติ ได้นำอุดมการณ์ลัทธิความเชื่อซ้ายจัดที่เป็นภัยต่อบ้านเมืองมาแทรกซึมแทรกแซงและใส่ชุดความคิดกับนิสิตนักศึกษา

การปลูกฝังอุดมการณ์และลัทธิความคิดซ้ายจัดเหล่านี้ทำให้นักศึกษาฮึกเหิมและมีพลังมากและเริ่มล้ำเส้นประชาธิปไตยไปจนถึงปกครองประเทศหรือโจมตียึดทรัพย์ของนายทุนมาเป็นของตนเอง โดยปราศจากความชอบธรรมและอำนาจรัฐใด ๆ

เป็นความจริงอันน่ากลัวว่า หากท่านต้องการทราบว่าเขาเป็นคนเช่นไร ให้เอาอำนาจใส่ในมือเขา นักศึกษาในยุคนั้นก็เช่นกัน เมื่อมีอำนาจในมือมาก ก็เริ่มกร่าง ก้าวร้าว ต่อต้านพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ท้าทายอำนาจทุกอย่างในสังคม มีอุดมการณ์เชื่อมั่นว่าตนเองจะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ให้ได้ทั้งหมด ทุกคนที่แก่กว่ากลายเป็นคนคร่ำครึ ล้าสมัย

ผู้นำนักศึกษาในปี 2518 ถึงกับถือเอาอำนาจป่าเถื่อนออกตระเวนเดินตลาดตรวจตาชั่งแม่ค้าว่าแม่ค้าโกงตาชั่งหรือไม่ โดยไม่ได้รับราชการที่สำนักชั่ง ตวง วัด กระทรวงพาณิชย์แต่อย่างใด แต่กร่างและถือว่าตนเองมีอำนาจในมือ ทำให้พ่อค้าแม่ค้าเกลียดชังนักศึกษาเป็นอันมาก

อีกเรื่องที่ได้ยินจากผู้ประสบเหตุคือขบวนการนักศึกษาซ้ายจัดไปยุยงสหภาพแรงงานให้ยึดโรงงานทอผ้าตัดกางเกงยีนส์ยี่ห้อดัง เพราะคิดว่านายทุนกดขี่ มาบริหารเอง นายทุนหรือเจ้าของโรงงานไม่มีพลังพอจะต่อสู้ก็ต้องปล่อยกรรมกรที่นักศึกษาหนุนหลังยึดโรงงานของตัวเองไป แล้วเข้าไปบริหาร แต่ไม่เกินหกเดือน โรงงานแห่งนั้นก็เจ๊งไม่เป็นท่า เพราะกรรมกร สหภาพแรงงาน และนักศึกษาต่างช่วยกันโกงโรงงาน และไม่มีความรู้ความเข้าใจในธุรกิจเพียงพอ เรียกว่าโง่ปราศจากความรู้และไม่สุจริตอีกด้วย

หลังจากนั้นเกิดกระแสขวาพิฆาตซ้าย อย่างรุนแรง เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ทำให้เกิดการเข่นฆ่านักศึกษาอย่างรุนแรง ญาติทางพ่อผมก็หนีเข้าป่า ก่อนจะออกจากป่ามาเรียนแพทย์จนจบในหลายปีให้หลัง หลายคนเป็นหยดหนึ่งในกระแสธารแห่งความรุนแรง และเป็นกรวดเม็ดร้าวที่เจ็บปวดจากสังคมมีรากขมขื่นมาจนทุกวันนี้ และหลายคนเก็บความแค้นและอุดมการณ์พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมาจัดตั้งกระแสลมพายุบุแคมที่โหมใส่ประเทศไทยในวันนี้ด้วย

ประการที่สอง ปรากฏการณ์สายลมแห่งพายุบุแคมนี้ ไม่ได้เกิดเองตามธรรมชาติ เป็นไปด้วยการจัดตั้งอย่างจงใจ โดยผู้ที่ไม่ได้หวังดีต่อประเทศชาติ จำนวนหนึ่งเก็บรากขมขื่นเกลียดชังสถาบันพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่ 6 ตุลาคม 2519 มาชักใยอยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองบางพรรค

ทุนที่เกิดขึ้นมีทั้งเงินทุนต่างชาติ โดยเฉพาะชาติตะวันตก ที่ให้ทุนนักศึกษาที่เป็นหัวขบวน เช่น National Endowment for Democracy หรือ NED ซึ่งจัดตั้งโดย Central Intelligence Agency : CIA ของสหรัฐอเมริกา นี่คือสิ่งที่แตกต่างมาก ความวุ่นวายในทุกวันนี้มาจากทุนนิยมตะวันตกสนธิกับคอมมิวนิสต์อกหักและพวกล้มเจ้าเข้าไปด้วยกัน

ข้อแตกต่างคือในช่วงปี 2514-2519 สหรัฐอเมริกาหนุนหลังไทยเต็มที่ และจีนอยู่เบื้องหลังขบวนการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย สหรัฐอเมริกาเชื่อในลัทธิแมคคาร์ธีย์และทฤษฎีโดมิโน ว่าหากประเทศใดเปลี่ยนไปเป็นคอมมิวนิสต์ ประเทศใกล้เคียงจะเปลี่ยนไปเป็นคอมมิวนิสต์หมด

ในหลวง ร.9 ทรงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชนบทและทรงเยี่ยมทหาร ราษฎรในพื้นที่ก่อการร้ายด้วยพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ทำให้สหรัฐอเมริกาเอง ก็หนุนหลังไทยเต็มที่ ให้เงินทองและมาตั้งฐานทัพในประเทศไทย ไทยกับสหรัฐอเมริกาเป็นมหามิตร สหรัฐอเมริกาหนุนหลังสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเต็มที่เพราะช่วยเป็นเกราะคุ้มกันภัยต่อต้านคอมมิวนิสต์ได้

อย่างไรก็ตามหลังจากจีนเปิดม่านไม้ไผ่ เริ่มมีการเจรจาทางการทูตระหว่างไทยกับจีนในทางลับ มีการเล่นกีฬาเกิดการทูตปิงปองระหว่างสองชาติ ไทยกับจีนเองก็สัมพันธ์กันโดยสายเลือดอยู่แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนแน่นแฟ้นมั่นคงขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนที่แน่นแฟ้นมากในระยะหลังที่มีรัฐประหารโดย คสช. ทำให้สหรัฐอเมริกาไม่พอใจมากนัก

สหรัฐอเมริกาเองสู้กับจีนโดยเข้าไปสนับสนุนม็อบกางร่มในฮ่องกง และมีคนเนรคุณสองแผ่นดินจากไทยเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ทำให้ปักกิ่งไม่พอใจมาก โปรดอ่านได้จาก ดร.อานนท์เขียนบทความตีแผ่‘คนเนรคุณสองแผ่นดิน’ https://www.thaipost.net/main/detail/47934 และ เมื่อพญามังกรพิโรธ นักการเมืองแยกแผ่นดิน https://mgronline.com/daily/detail/9620000099524 ทำให้จีนโกรธมาก โกรธทั้งสหรัฐ และหมายหัวคนเนรคุณสองแผ่นดิน

การเคลื่อนไหวของสายลมพายุบุแคมในประเทศไทย จึงไม่ได้เป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ มีการจัดตั้งเป็นขบวนการ โดยตัวละครเดิม ๆ โดยมีทั้งเงินทุนในประเทศจากนักการเมืองและเงินทุนต่างชาติอยู่เบื้องหลังเช่นที่เกิดขึ้นในฮ่องกง

แผนภาพด้านล่างนี้ที่แพร่หลายในวงการข่าวและความมั่นคงของไทย สะท้อนทั้ง การสื่อสารทางการตลาดดิจิทัลบูรณาการ (Integrated digital marketing communication) และปฏิบัติการจิตวิทยาไซเบอร์ (Cyber Psychological Operations)


การสื่อสารทางการตลาดดิจิทัลบูรณาการเป็นกระบวนการที่ใช้การสื่อสารทางการตลาดอย่างบูรณาการ ทุกสื่อ ทุกกลุ่มเป้าหมาย หลากหลายรูปแบบ หลากหลายเนื้อหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สื่อใหม่ (New Media) หรือสื่อดิจิทัล (Digital media) เพื่อให้สารได้เข้าถึงผู้ฟังเป้าหมาย (Target audience) อย่างได้ผลและคงเส้นคงวา

ตัวอย่างชัดเจนของการสื่อสารทางการตลาดดิจิทัลบูรณาการคือขบวนการล้มเจ้าบนโลกออนไลน์ โปรดอ่านได้จาก https://mgronline.com/daily/detail/9630000064482 ซึ่งเป็นทีมเดียวกันกับทีมที่ปลุกกระแสลมพายุบุแคม ในประเทศในเวลานี้ มีทั้ง off line และ online มี cyber warrior มี cross posting

และก่อนหน้านั้นได้แก่ การสื่อสารการตลาดดิจิทัลบูรณาการเพื่อการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ทำได้อย่างดี โปรดอ่านได้จาก 10 กลยุทธ์เครื่องมือหาเสียงของพรรคการเมืองยุคดิจิทัล https://www.kpi-corner.com/content/6671/content210662-1 และ บทความ แพ้หรือชนะเลือกตั้งครั้งล่าสุด เพราะ Big data analytics และ Digital Marketing https://mgronline.com/daily/detail/9620000059810

หัวใจของกระแสลมพายุบุแคม ครั้งนี้ที่ชูสามนิ้ว คือการสร้างชุดข้อมูล เพื่อนำไปสู่ ชุดความคิด อันเป็นไปตามหลัก Content is a king in a digital marketing world. เนื้อหาคือราชาแห่งโลกการตลาดดิจิทัล

คนกลางในประเทศ อันได้แก่ กลุ่มการเมือง นักวิชาการ NGO และ Influencer เป็นผู้สร้างชุดข้อมูล

กลุ่มการเมืองหลักคือคณะก้าวไกลซึ่งแม้จะออกมาปฏิเสธพัลวันหลังจากเกิดการล้ำเส้นที่ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต โดยปราศรัยด้วยข้อเสนอลิดรอนทำลายพระราชอำนาจ สิบข้อ และยังนัดแนะกันไปชุมนุมที่สวนลุมพินีอันติดโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวงประทับรักษาพระอาการประชวรอยู่ในวันแม่แห่งชาติทำให้คนไทยรับไม่ได้เลย

ชุดข้อมูลจากนักวิชาการนั้น มีเงินจ้างนักวิชาการไทยผลิตงานวิชาการออกมามาก ให้ตีความในทางลิเบอรัลสุดขีดและปฏิกษัตริย์นิยม หรือต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ เงินเหล่านี้ไหลมาให้นักวิชาการไทยและนักวิจัยไทยผลิตผลงานแบบมีธงล้มเจ้า จากทั้งเยอรมันนี ฟินแลนด์ และสวีเดน ผ่านมูลนิธิ NGO จำนวนหนึ่ง ยกตัวอย่างหนังสือ 10 เล่ม ที่ สฤณี อาชวานันทกุล เลือกสรรว่าเป็นตำราประวัติศาสตร์ไทยที่ดีที่สุด (หลายเล่มก็ไม่ได้มีแนวคิดล้มเจ้าแต่อย่างใด แต่ส่วนมากล้มเจ้า) จัดว่าเป็นชุดข้อมูลชุดหนึ่งที่ก่อให้เกิดชุดความคิด https://www.goodreads.com/review/list/27641854?shelf=best-thai-history-books&fbclid=IwAR1BzTunBtmFnCvyccgkJRkfp3F9SdVsXt8Dju2NK4D7sa4nwIna4Gr_XbI

และการเผยแพร่ชุดข้อมูลเหล่านี้ในหมู่เยาวชนนั้นก็ต้องบอกว่าเป็นไปอย่างกว้างขวางแพร่หลาย

ผมต้องขอชื่นชมมากที่เยาวชนไทยกลุ่มนี้จำนวนมากอ่านหนังสือมาก มากกว่าที่ผมคิดมาก เช่น มีการจัดกิจกรรมโดยคณะก้าวหน้าสงขลาเพื่อปลุกระดมให้น้อง ๆ หาดใหญ่วิทยาลัย ชูสามนิ้วขณะเคารพธงชาติ ไปเมื่อวันก่อนนั้น นวดกันมาก่อน โดยจัดกิจกรรมผ่านเครือข่าย ให้ได้รางวัลเป็นหนังสือที่ให้แนวคิดหนัก ๆ ทางการเมือง ซึ่งหนังสือพวกนี้ผมไปอ่านเมื่อเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว แต่น้อง ๆ อ่านกันตั้งแต่มัธยมศึกษา

การตลาดออฟไลน์สำหรับการจัดกิจกรรมผ่านเครือข่ายในรูป ได้แก่ พรรคอนาคตใหม่/ก้าวไกลมีนักธุรกิจหนุ่มเป็นสมาชิกคนหนึ่งชื่อย่อ ว. มีประวัติประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูกิจการค้าเหล็กของบรรพบุรุษที่ขาดทุนร่อแร่ให้กลับมาฟื้นฟูได้ เขาได้เปิดร้านกาแฟใกล้มหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนทั่วประเทศไทยหลายสิบร้านให้เด็ก ๆ บริหารกันเอง เป็นนายทุนให้ แล้วได้ข่าวว่าแบ่งกำไรให้ (เด็กวัยรุ่นย่อมภาคภูมิใจที่หาเงินเลี้ยงตัวเองได้) แต่ต้องให้ร้านกาแฟเป็นสถานที่เสวนาการเมือง ปลูกฝังชุดข้อมูลและชุดความคิดให้เยาวชนอย่างได้ผล

ในร้านกาแฟนั้นมีการชวนทำกิจกรรมดูหนังที่ห้ามฉายในประเทศไทย ไอ้อะไรที่ห้ามนี่ยิ่งถูกนิสัยวัยรุ่น ยิ่งห้ามยิ่งอยากจะรู้ในร้านกาแฟ เรียกว่ามีการนวดส่งผ่านชุดความคิดด้วยกิจกรรม มีชิงรางวัลให้อ่านหนังสือ สัตว์การเมือง (Animal Farm) ของจอร์จ ออร์เวล ที่วิจารณ์การเมืองของสัตว์อย่างสับจนเละ เป็นหนังสือดีที่น่าอ่าน แต่ก็ปลุกความคิดในการต่อสู้ในวัยรุ่นอย่างได้ผลเช่นกัน

ตัวละครอีกกลุ่มคือ NGO เช่น iLaw ที่เคยรณรงค์ต่อต้าน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับใหม่ คราวนี้เข้ามาร่วมรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ

เท่าที่ผมได้รับทราบข้อมูลมาทีมเทคโนโลยีสารสนเทศและวิทยาการข้อมูล (data scientist) ของกลุ่มนี้เก่งระดับพระกาฬ และเล่นสามบทในเวลาเดียวกันแบบบูรณาการ บทหนึ่งทำธุรกิจ พัฒนาเครื่อง Social listening tools ที่ดีที่สุดในภาษาไทย เก่งที่สุดในการวิเคราะห์ข้อความ (Text analytics) และการประมวลผลภาษาธรรมชาติภาษาไทย (Thai natural language processing) อีกด้านก็ ทำงานภาคประชาสังคมเป็น NGO หลายค่าย เช่น iLaw พลเมืองด็อทเน็ต เป็นต้น และอีกด้านก็คือพรรคอนาคตใหม่และคณะก้าวไกล อันเป็นพรรคการเมือง แต่ล้วนเป็นทีมเดียวกัน ทั้งสิ้น

การใช้สื่อใหม่และ influencer เป็นไปอย่างกว้างขวาง มีเว็บและ Facebook จัดตั้งหรือเครือข่ายห้องไลน์กรุ๊ปสำหรับส่งข้อความถ่ายทอด มี admin อย่างเป็นระบบ มีเครือข่ายสื่อมวลชนจำนวนมาก ร่วมอยู่ในขบวนการด้วย ทีวีช่องไหน วิทยุรายการใด หรือพิธีกรใด เราท่านก็คงพอจะทราบกันได้ดีอยู่แล้ว

เนื่องจากคนปลุกระดมกระแสลมพายุบุแคม ทราบดีว่าเด็กวัยรุ่น นั้นปากกล้าขาสั่น เลยสั่งให้ใส่หน้ากากอนามัยด้วย (อ้างว่าป้องกันโควิด) แต่มีเทปแปะทับเสื้อไม่เห็นชื่อนักเรียนที่ปักบนอกเสื้อ เพื่อให้ทุกคนปลอดภัย

กิจกรรมเครือข่ายรวมไปถึงการเล่มบอร์ดเกมส์ และมีร้านเกมส์ออนไลน์หลายร้าน ที่ให้เล่นเกมส์ได้ฟรีแล้วได้เผยแพร่ชุดความคิดไปพร้อมกันด้วยในเวลาเดียวกัน การเลือกใช้สื่อใหม่ สื่อดิจิทัล ทวิตเตอร์ และบอร์ดเกมส์หรือเกมส์ออนไลน์ หรือแม้แต่การดูหนัง เป็นการสื่อสารทางการตลาดที่ตรงใจ เข้าถึง






สื่อสังคมที่ใช้เป็นหลัก คือทวิตเตอร์ เพราะเป็นสื่อสังคมที่เด็กวัยรุ่นใช้มากที่สุด สร้างกระแสไวรัลและรีทวิตให้มากสุด แต่สื่อเก่า เช่น โทรทัศน์ หรือวิทยุ ก็มีเช่นกัน cross posting ข้ามแพลทฟอร์มเป็นหัวใจของการสื่อสารทางการตลาดดิจิทัลบูรณาการเพราะทำให้เกิดการขยายฐานทางการตลาด และเพิ่มกลุ่มเป้าหมายจากกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่งอย่างได้ผล

ในด้านการผลิตสื่อนั้นก็มีความสามารถสูงมาก ทีมกราฟิกฝั่งเด็กๆ ไม่ได้เก่งหรือทำเอง ที่เห็นด้านล่างนี้เป็นกราฟิกฝีมือระดับอาชีพ น่าจะต้องเสียเงินจ้างกันพอสมควร มีความเข้าใจลึกซึ้งในจิตวิทยาเด็ก ว่าเด็กต้องการสร้างอัตลักษณ์ และต้องการเป็นฮีโร่ที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศ รูปสวยมาก มีคนจ่ายเงินเบื้องหลังให้ ทีมงานเป็นทีมงาน จบด้าน industrial design จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยชื่อดังเก่าแก่ของประเทศ

ตัวอย่างใบปลิวออนไลน์ด้านล่างนี้ ปลุกระดมด้วยคำขวัญการปฏิวัติระบบกษัตริย์ฝรั่งเศส เสรีภาพ เสมอภาพ ภราดรภาพ ใช้คำหรูกัน และแฝงนัยยะแห่งการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ได้ โดยเยาวชน (ว่าแต่ว่าไปลอกความคิดมาจากญี่ปุ่นไหมหนอ)


นอกจากนี้ยังมีการใช้เครือข่ายใต้ดินอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอวตาร หรือตัวปลอม ไม่ได้ระบุตัวตนหรืออัตลักษณ์อีเล็คทรอนิกส์ที่แท้จริง ทำให้เผยแพร่เนื้อหาใด ๆ ก็ได้ เพราะตรวจจับความผิดไม่ได้ จับกุมไม่ได้ จะไประราน bully ใครก็ได้

ยกตัวอย่าง เช่น แค่ ณเดชน์ คุกิมิยะ หรือ ดาราคนไหน โพสต์ถวายพระพร เจ้านาย ก็ไปถล่มเขาในโลกออนไลน์ พวกนี้ปากว่าตาขยิบ มือถือสากปากถือศีล เรียกร้องสิทธิ์ของตนเอง แต่ไม่เคารพสิทธิ์ของคนอื่น นี่หรือคือประชาธิปไตย ใครเห็นต่างพวกนี้รุมถล่ม ไล่ล่า นี่คืออะไร นี่คือ freedom of speech ที่เรียกร้องกันนักหนาการจัดตั้งแบบเป็นขบวนมีนักรบไซเบอร์เป็นกลุ่มใหญ่ ทำให้เกิด critical mass หรือมวลวิกฤติที่เมื่อพร้อมกันโพสต์จะเกิดกระแสไวรัลและจุดติดได้ง่าย

การประดิษฐ์วาทกรรมสั้น ๆ และติด hash tag ทำให้เกิดคำฮิตหรือ Buzz word เช่น พ่อของฟ้า หรือแม้กระทั่งในวันที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา คำที่ hash tag มากที่สุด เป็นคำที่ไม่เป็นมงคล และมีเป้าหมายล้มเจ้าอย่างชัดเจนก็เกิดจากนักรบไซเบอร์และอวตารกลุ่มเดียวกันนี้อยู่เบื้องหลัง

การเคลื่อนไหวเหล่านี้ผลักดันผ่านกลุ่มเพื่อนและโรงเรียนด้วย มีการแจกโบว์สีขาวในโรงเรียนตั้งแต่โรงเรียนประถมศึกษาไปจนถึงโรงเรียนมัธยมศึกษา อันแสดงให้เห็นว่ามีการจัดตั้งอย่างเป็นระบบและบูรณาการในการสื่อสารทุกช่องทางที่จะเข้าถึงเด็กและวัยรุ่น

การใช้เพื่อนเพื่อสร้าง peer pressure และกระแสกดดันในกลุ่มเพื่อนนี้ค่อนข้างได้ผล เพราะสำหรับเด็กวัยรุ่น เพื่อนเป็น significant others ที่สำคัญยิ่งกว่าพ่อแม่และผู้ปกครอง การได้รับการยอมรับจากเพื่อนสำคัญยิ่งกว่าความรักจากพ่อแม่สำหรับเด็กเพราะกำลังติดเพื่อน การให้เด็กวัยรุ่นเป็นกระบอกเสียงด้วยกันมีอำนาจในการชักจูงใจ (Persuasive power) สูงมาก

ในอีกด้านมีปฏิบัติการจิตวิทยาไซเบอร์ (Cyber psychological operations) ซึ่งกองทัพบกเคยทำปฏิบัติการจิตวิทยา (Psychological operations) อย่างได้ผลในการต่อสู้ทางความคิด โดยเฉพาะอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ให้กิจการพลเรือนของทหารเข้าไปแทรกซึมในชุมชน ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงความคิดของคนที่หลงผิด ผ่านการร่วมพัฒนาชาติไทยไปทีละเล็กละน้อย

น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่กองทัพบกไม่สามารถพัฒนาปฏิบัติการจิตวิทยาที่เคยใช้อย่างได้ผลในสมัยสงครามเย็นให้กลายเป็นปฏิบัติการจิตวิทยาไซเบอร์ บนโลกออนไลน์ได้ในปัจจุบัน เพราะกองทัพบกไม่มีความทันสมัยเพียงพอ

ชุมชนทางกายภาพที่ต้องลงพื้นที่ในปฏิบัติการจิตวิทยาตอนนี้มาอยู่บนโลกออนไลน์หมดสิ้นแล้ว ทหารต้องเปลี่ยนที่เล่น หรือแพลทฟอร์มและเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคออนไลน์ (Online consumer behavior) อย่างถ่องแท้มากขึ้น แล้วนำมาปรับใช้ในการสื่อสารทางการตลาดดิจิทัลเพื่อนำไปสู่ปฏิบัติการจิตวิทยาไซเบอร์ ให้ได้ผล หากอยู่เฉยๆ ไม่ตอบโต้ ตั้งรับอย่างเดียว ไม่บุก ไม่ต่อต้าน ย่อมมีแต่ความพ่ายแพ้ในสงครามไซเบอร์ โดยมีประเทศเป็นเดิมพันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย

ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งเข้าใจศาสตร์สมัยใหม่ อย่างเช่น วิทยาการข้อมูล การตลาดดิจิทัล และนำมาหลอมรวมสร้างปฏิบัติการจิตวิทยาไซเบอร์บนโลกออนไลน์เพื่อเปลี่ยนแปลงความคิดของชุมชนบนโลกออนไลน์อันเกิดจากการระเบิดผ่านดิจิทัล (Digital disruption) ในปัจจุบันอย่างได้ผล

ปฎิบัติการจิตวิทยาไซเบอร์นั้นมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนชุดความคิดของเยาวชน เพื่อให้เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงประเทศ ในแผนผังนั้นมี 4 ขั้นตอน แต่ทำไปได้เพียงขั้นตอนเดียว และกำลังพยายามทำให้ขั้นตอนที่สองบรรลุผล ส่วนขั้นตอนที่ 3 และ 4 นั้นยังไม่ได้ลงมือทำ (และผมคิดว่าถ้าทำไปถึงขั้นตอนที่ 3 และ 4 สำเร็จ เยาวชนปลดแอกของไทยจะกลายเป็นยุวชนเขมรแดงและยุวชนเรดการ์ดอย่างแน่นอน ซึ่งน่ากลัวมาก)

สำหรับแผนขั้นที่หนึ่ง แยกพวกเขาออก ใช้การปั่นกระแสแบ่งแยก คนรุ่นเก่า-คนรุ่นใหม่ ออกจากกัน ให้วัยรุ่นมองผู้ใหญ่ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมอันดีงาม ให้เป็นของล้าหลัง ให้วัยรุ่นเป็นหัวก้าวหน้า ที่เหลือเป็นพวกล้าหลัง ให้พวกตนเองหรือพวกที่คิดเหมือนจนเป็นฝ่ายประชาธิปไตย และฝ่ายที่เห็นต่างเป็นฝ่ายเผด็จการ ทำให้เกิดความแตกแยกร้าวลึกไปยังครอบครัว สถาบันต่างๆ ในสังคมอย่างรุนแรง

สถาบันพระมหากษัตริย์ ครูบาอาจารย์ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ล้วนแต่เป็นคนรุ่นเก่า ไม่เป็นประชาธิปไตย ล้าหลัง นี่คือภาพที่พยายามสร้างให้เชื่อเช่นนั้น

ในขั้นตอนนี้ปฏิบัติการจิตวิทยาไซเบอร์ได้มีความพยายามดึงฟ้าต่ำ ทำหินแตก แยกแผ่นดิน สังคมไทยทุกวันนี้แบ่งแยกและแตกแยกร้าวรานมากกว่าคราวเกิดกีฬาสีกลางเมือง เหลือง-แดง เสียอีก จากเดิมที่เป็นการแบ่งแยกกลุ่มที่ต้องการระบอบทักษิณและกลุ่มที่ต่อสู้กับระบอบทักษิณ กลายมาเป็น กลุ่มที่เป็นกษัตริย์นิยมและกลุ่มปฏิกษัตริย์นิยม ไม่เคยมีครั้งใดที่เกิดการแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรงในแง่การเมืองการปกครองมากเท่านี้มาก่อน

แผนขั้นที่สองของปฏิบัติการจิตวิทยาไซเบอร์ที่กำลังพยายามทำ คือการทำลายระบบการปกครองเดิม โจมตีสถาบันว่าเป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตย ต้องการลดทอนอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยจากเดิมที่เป็น Constitutional Monarchy ซึ่งแปลไม่ถูกต้องมาโดยตลอดว่าเป็น ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่แท้จริงต้องแปลว่าราชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญ แต่ที่หนักสุดมีความคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้สถาบันอ่อนแอที่สุด ไม่ให้มีพระราชอำนาจใดๆ เลย ทั้งๆ ที่เป็นองค์อธิปัตย์ ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นสาธารณรัฐ (Republic)

เราคงได้เห็นว่าพรรคก้าวไกลต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 1 บททั่วไป และ 2 พระมหากษัตริย์ อันน่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองเดิมของประเทศ ลิดรอนพระราชอำนาจให้แทบไม่เหลือเลย

แผนขั้นที่สาม ของปฏิบัติการจิตวิทยาไซเบอร์คือขยายเครือข่าย ซึ่งแท้จริงเป็นการรักษาความบริสุทธิ์ของเจตจำนง ขบวนการถือเป็นหัวใจและมิอาจถูกบิดเบือน ต้องไม่ให้ใครเข้ามาทำลาย ขวางกั้นเจตนาอันบริสุทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงประเทศได้ ต้องไม่ให้ความเชื่อเก่าอันโสมมเข้ามาปะปน หนุ่มสาวต้องตัดขาดจากครอบครัวอย่างถาวร และเริ่มติดต่อกับแนวร่วมคนอื่น ๆ

ในจีนยุวชนเรดการ์ดในยุคนั้น ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ เพราะหัวเก่า เป็นอุปสรรคต่อการปฏิวัติ ถึงกับแจ้งทางการพรรคคอมมิวนิสต์และแก๊ง 4 คน ให้มาจับกุมพ่อแม่ให้ไปเข้าค่ายเพื่อเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจ ล้างสมองเพื่อให้พร้อมสำหรับการปฏิวัติ

การสร้างเครือข่ายอันบริสุทธิ์ มีความคิดหรือชุดความคิดเหมือนกันที่เข้มแข็งเท่านั้น ห้ามมีความคิดแตกแยก และนับถือผู้นำชุดความคิดประหนึ่งศาสดา และดำเนินตนเยี่ยงสาวกที่ดีและขจัดความเห็นต่างทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก

ยกตัวอย่างเรื่องแต่งที่แต่งจากเรื่องจริงอันแสดงให้เห็นว่าขั้นตอนการขยายเครือข่าย ต้องให้ได้เครือข่ายที่บริสุทธิ์ เข้มข้นด้วยอุดมการณ์เดียวกัน มีศาสดาองค์เดียวกัน มีความเชื่อหนักแน่นในฐานะสาวกที่ดีเหมือนกัน ดังนี้ สหายเอกทำหนังสือล้มเจ้า ใช้ที่อยู่บริษัทของแม่ ใช้เบอร์โทรศัพท์ของบริษัทของแม่ และใช้รถของบริษัทของแม่ ทำหนังสือล้มเจ้า พอจะถูกจับ แม่ก็ยังคงเป็นแม่ไปกราบขอร้องผู้ใหญ่ให้ช่วยเหลือ ผู้ใหญ่ก็ช่วย แม่ก็โล่งใจ ผู้ใหญ่ก็ขอให้แม่ไปสอนลูกชื่อสหายเอก แม่ก็ไปสอนสหายเอกและห้ามปราบให้เลิกพฤติกรรม สหายเอกแทนที่จะฟังแม่และกราบเท้าแม่ขอบคุณที่ช่วยให้ตนไม่ต้องเข้าคุก กลับประกาศตัดขาดความเป็นแม่ลูก ห้ามแม่เข้าบ้านตน ห้ามแม่มาแตะต้องหลาน ห้ามแม่เจอหลาน และสหายเอกไม่ยอมคุยกับแม่อยู่หลายปี

ประเทศไทยยังไม่ได้ร้ายแรงมากนัก กระแสลมพายุบุแคมยังไม่ดำเนินมาถึงขั้นนี้

แผนขั้นที่ 4 ลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ ต้องเข้าถึงเฉพาะความจริงอันเที่ยงแท้ อะไรที่ไม่เที่ยงแท้ย่อมไม่มีคุณค่า สถาบันพระมหากษัตริย์ การรับพระราชทานปริญญาบัตร ชุดครุยพระราชทาน ในจีนยุวชนเรดการ์ดร่วมปฏิวัติวัฒนธรรม โดยทำลายโบราณสถานโบราณวัตถุไปจนหมดสิ้น โชคดีของจีนที่เจียงไคเช็คขนสมบัติล้ำค่าของราชวงศ์จีนไปที่ไต้หวันมากมาย จึงไม่ถูกเรดการ์ดทำลายจนป่นปี้เหลือรอดมาจนทุกวันนี้

มนุษย์ที่ไม่มีแนวคิดเดียวกัน คือแนวคิดปฏิวัติ ย่อมไม่มีค่าพอที่จะเป็นมนุษย์ รวมไม่ถึงพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ที่ไม่มีคุณค่าพอจะเป็นมนุษย์ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ต่อไป

ต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในเขมรเมื่อคราวที่เขมรแตก และเขมรแดงเข้าครองประเทศ โดยมีการปลุกระดมยุวชนเขมรแดงเป็นเครื่องมือทางการเมือง โดย ดร.นพนันท์ อรุณวงศ์ ณ อยุธยา เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2563 ดังนี้

ธันวาคม พ.ศ. 2548 ผมกำลังจะออกเดินทางจากกรุงพนมเปญไปยังเมืองพระตะบองเพื่อเที่ยวชมบ้านเมืองในชนบทของกัมพูชา

แม่บ้านชาวเขมรอายุสี่สิบปลาย ๆ เข้ามาเลียบ ๆ เคียง ๆ ขออนุญาตติดรถร่วมเดินทางไปด้วย เธออยากจะไปที่ตำบลเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเมืองพระตะบองซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอ ผมไม่ขัดข้องและรู้สึกยินดีที่จะมีคนท้องถิ่นช่วยพาผมเที่ยวชม

กัมพูชาในขณะนั้นยังไม่มีแม้แต่ไฟจราจร ถนนสายหลักในประเทศยังเป็นถนนดินลูกรังแค่ 2 เลน เราใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมงจึงถึงจุดหมาย

บริเวณนั้นเป็นที่ราบ มีวิหารเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนเพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นาน รายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ประปราย แต่ไม่มีบ้านคนแม้สักหลังเดียว

แม่บ้านลงจากรถ หยุดยืนนิ่ง แล้วจึงเดินช้า ๆ ไปยังพื้นที่ด้านข้างวิหาร สีหน้าเรียบเฉย ไม่พูดไม่จา

ทันใดนั้น เธอก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ร้องไห้ออกมาอย่างโหยหวน น้ำตาไหลพราก สะอึกสะอื้นปานแทบจะขาดใจ

สักพัก เธอจึงเล่าให้ผมฟังว่า

บริเวณนี้คือที่ฝังศพของพ่อ แม่ และพี่สาวของเธอ ทั้ง 3 คนถูกล่ามไว้กับพื้นดินจนตายอย่างช้า ๆ เพราะขาดน้ำและอาหาร เมื่อตายแล้วก็ถูกดินฝังกลบเพียงบาง ๆ และไม่นานหลังจากนั้นสุนัขก็เข้ามากัดกินซากศพจนหมดสิ้น

พ่อ แม่ และพี่สาวของเธอตายเพราะ "ต่อต้านการปฏิวัติ"

สำคัญ คือ ผู้ที่กล่าวโทษ ลงทัณฑ์ พ่อ แม่ และพี่สาวของเธอจนตาย ก็คือตัวเธอขณะกำลังเป็นยุวชนเขมรแดงนั่นเอง

ไม่ใช่แค่เธอที่ฆ่าพ่อแม่และพี่สาว แต่ยุวชนเขมรแดงอีกมากมายก็นำพ่อแม่ของตัวเองมาสังหารที่นั่นด้วยวิธีการต่าง ๆ นานาจนกลายเป็นทุ่งสังหาร

ในวัย 16 ปี เธอไม่รู้สึกผิดใด ๆ ทั้งสิ้น เธอเฝ้าดูพ่อ แม่ และพี่สาวของเธอกำลังตายอย่างช้า ๆ ด้วยใจที่มุ่งมั่น เธอเชื่อว่าเธอกำลังทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อสร้างสังคมใหม่ให้กับกัมพูชา-ประเทศชาติอันเป็นที่รักของเธอ สิ่งที่ล้าหลังคร่ำครึทั้งหลายจะต้องถูกทำลายให้หมดสิ้น เพื่อรับศักราชใหม่ของกัมพูชา

หลายสิบปีผ่านไป เธอไม่เคยกลับไปที่นั่นอีกเลยจนกระทั่งวันนั้น


ขอจบบทความนี้ซึ่งค่อนข้างยาวสักหน่อย แล้วจะมาวิเคราะห์ให้ฟังว่า รัฐบาล พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ควรต้องทำอย่างไร เพื่อไม่ให้แผ่นดินไทยมีเยาวชนไทยที่กลายเป็นยุวชนเขมรแดง ยุวชนเรดการ์ด และไม่ต้องเกิดเหตุการณ์บานปลายจนเกิดเหตุการณ์ขวาพิฆาตซ้ายเช่น 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งมีเด็กและเยาวชนซ้ายจัดต้องตายไปเป็นอันมาก เลือดนองแผ่นดิน


กำลังโหลดความคิดเห็น