ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence
และ Actuarial Science and Risk Management
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence
และ Actuarial Science and Risk Management
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ขอบอกให้ทราบว่ากระบวนการในการส่งทูตของชาติมหาอำนาจไปทำงานในต่างแดนนั้นพิถีพิถันกว่าเรามาก ทูตจีนในประเทศไทยพูดไทยอ่านไทย คล่องปร๋อทุกคน ทูตสหรัฐอเมริกาในประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน พูดไทย อ่านไทย ฟังไทย เขียนไทย ได้ชัดแจ๋ว เข้าใจวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ประเพณีของไทยเป็นอย่างดี ผมเคยได้สนทนาด้วยกี่ปี ๆ ก็เป็นเช่นนี้หมด ผมถามดูได้ความว่า ต้องเรียนภาษาไทยกันเป็นปี ๆ ก่อนถูกส่งมาประจำการ ในทางตรงกันข้าม ทูตไทยไปประจำต่างประเทศมีน้อยมากที่พูดภาษาของประเทศนั้น ๆ ได้ ส่วนใหญ่พูดได้แต่ภาษาอังกฤษ หรือภาษายุโรป เป็นหลัก ส่วนที่จะพูดภาษาจีน หรือภาษาฮินดี หรือภาษาในเอเชียหรือแอฟริกาได้นั้นแทบไม่มี สิ่งที่น่าคิดก็คือ เนลสัน แมนเดลลา ประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ผู้ล่วงลับ เจ้าของรางวัลโนเบลได้กล่าวไว้ว่า “If you talk to a man in a language he understands, that goes to his head. If you talk to him in his language, that goes to his heart.” ถ้าหากเราพูดกับเขาด้วยภาษาที่เขาเข้าใจได้ ข้อความนั้นจะเข้าไปในสมองของเขา แต่ถ้าพูดกับเขาด้วยภาษาของเขาเอง ข้อความนั้นจะเข้าไปในหัวใจของเขา
ชาติมหาอำนาจเวลาจะส่งทูตมาทำงาน ส่งเจ้าหน้าที่มาทำงาน เลือกและฝึกคนที่พูดภาษาของชาตินั้น ๆ ได้ และมีเรื่องหนึ่งที่คนไทยไม่ค่อยรู้ก็คือทุกสถานทูตทั่วโลกของประเทศมหาอำนาจ และแม้กระทั่งประเทศเล็ก ๆ ต่างมีหน้าที่สำคัญประการหนึ่งคือการข่าว การข่าวในที่นี้คือสืบข่าว แสวงหาข่าว โดยเฉพาะข่าวการเมืองและความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จะกระทบกับการเมืองภายในประเทศของประเทศตน ที่จะกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศระหว่างสองประเทศ และที่จะกระทบกับผลประโยชน์ของประเทศตน และแน่นอนว่าเจ้าหน้าที่การข่าวของชาติมหาอำนาจย่อมพูดภาษาไทยได้ และเข้าใจภาษาไทย วัฒนธรรมไทย อย่างลึกซึ้งทำให้ได้ข่าวเชิงลึกและมีความแม่นยำสูงมาก เจ้าหน้าที่การข่าวเหล่านี้มีหน้าที่เขียนรายงานข่าวกลับไปยังรัฐบาลที่เมืองหลวงของประเทศตนเองทุกวัน ทำอย่างสม่ำเสมอไม่มีวันหยุด และหากเป็นเรื่องสำคัญย่อมต้องมีการรายงานขึ้นไปยังผู้นำประเทศอย่างรวดเร็ว
สถานทูตสหรัฐอเมริกาในประเทศไทยมี Central Intelligence Agency หรือ CIA ที่คนไทยรู้จักกันดีในหนังฮอลลีวูด ทำงานกันนอกเครื่องแบบกระจายทั่วประเทศไทยนับพันคน รู้เรื่องของประเทศไทยดีกว่านักวิชาการไทย ข้าราชการไทย และคนไทยเสียอีก และทำเช่นนี้มาหลายสิบปีแล้วนับตั้งแต่ก่อนมีการตัดถนนมิตรภาพเสียด้วยซ้ำ
โปรดอย่าลืมว่าไทยในทางภูมิรัฐศาสตร์นั้นสำคัญมากสำหรับทั้งจีนและสหรัฐอเมริกา สถานทูตสหรัฐอเมริกาในกรุงเทพมีเจ้าหน้าที่มากเป็นอันดับสองของโลก รองจากไคโรซึ่งดูแลตะวันออกกลางทั้งหมด และกรุงเทพนั้นดูแลเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีนด้วย
สำหรับจีนนั้นสนามบินอู่ตะเภาและตาคลีหรืออุดรธานี สำคัญมาก เพราะบินไปเสฉวนได้สะดวกและใกล้มาก จีนมีคำพูดแต่โบราณมาว่าผู้ใดครองเสฉวน ผู้นั้นครองจีน จีนให้ความสำคัญกับทะเลจีนใต้มากเป็นพิเศษ แน่นอนว่าทั้งสองชาติย่อมต้องการพวกและต้องการให้ไทยเราเข้าข้างตัวเองทั้งสิ้น ทำให้ไทยเราต้องลำบากพอควร เพราะทั้งจีนและสหรัฐอเมริกาต่างให้ความสำคัญกับประเทศไทย และไทยต้องรักษาสมดุลและสัมพันธภาพระหว่างสองมหาอำนาจให้ดีที่สุด
ผมกล้ายืนยันได้ว่าสถานทูตจีนในประเทศไทยก็มีการข่าวมีสายข่าวแน่นหนา ไม่ได้แตกต่างจากสถานทูตสหรัฐอเมริกา และแน่นอนต้องรายงานตรงไปที่ปักกิ่ง เช่นเดียวกับที่สถานทูตสหรัฐอเมริการายงานตรงไปยังวอชิงตัน ดีซี
ในฮ่องกงเอง ยิ่งไม่ต้องห่วง ทางการจีนย่อมต้องมีเจ้าหน้าที่การข่าวแทรกซึมเข้าไปในทุกหย่อมหญ้า ซึ่งรวมไปถึงในบริเวณที่มีการประท้วง และย่อมต้องมีการส่งจารชนเข้าไปปลอมปนเป็นผู้เข้าร่วมชุมนุมหรือแม้กระทั่งเข้าไปอยู่ในวอร์รูมของการชุมนุมเพื่อรายงานข่าวให้รัฐบาลจีนทราบตลอดเวลา ในภาวะวิกฤติเช่นนี้ทางการจีนยิ่งต้องมีการข่าวที่เข้มแข็ง ลงลึกในฮ่องกงอย่างแน่นอน และไม่มีอะไรที่จะหลุดรอดสายตาไปได้ง่าย ๆ
ดังนั้นไอ้เรื่องที่ว่าแค่เจอหน้ากันกับนักการเมืองแล้วถ่ายรูปนั้น มันไม่ใช่แค่นั้นที่เราเห็นอย่างแน่นอน สายข่าวย่อมทราบดีกว่านั้น
มันมากกว่านั้นมาก ที่เราไม่เห็นใต้ดิน ที่เคลื่อนไหวใต้ดิน แต่การข่าวเขาทราบในทางลับนั้นมีมากกว่านี้มาก
การออกมา drift หรือดิ้นหนีหน้าด้าน ๆ ลอย ๆ ว่าไม่รู้ไม่เห็น แค่ไปถ่ายรูปนั้นฟังไม่ขึ้น ยากจะปฏิเสธได้ การข่าวของทางการจีนมีโอกาสพลาดน้อยมาก และคงคอยติดตามอยู่แล้วตั้งแต่อยู่ในประเทศไทย
ในช่วงเวลาเดียวกัน Ted Cruz เป็นวุฒิสมาชิกจากรัฐฟลอริดา เข้าไปในฮ่องกง ชั้นแรกจะขอพบกับแครี่ หลั่ม ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง แต่เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในและเคลื่อนไหวในฮ่องกงก่อน ทำให้แครี่ หลั่มไม่ยอมให้พบและพญามังกรจีนก็พิโรธมาก ถึงกับประกาศกร้าวว่า จงถอดเสื้อดำออก จงนำ ‘อุ้งมือสีดำ’ กลับออกไป จงหยุดแทรกแซงกิจการภายในของฮ่องกง และผืนแผ่นดินจีนมิใช่สถานที่จะกระทำการได้ตามอำเภอใจ
ดูกรณีแบน NBA สถานีโทรทัศน์ CCTV ของทางการจีน งดการถ่ายทอดบาสเกตบอล NBA ทุกเกม เพื่อเป็นตอบโต้ที่นายดาริล มอเรย์ ผู้จัดการใหญ่ของทีมได้ทวีตข้อความสนับสนุนการประท้วงในฮ่องกง
ต่อมาเมื่อสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เยือนเนปาล ได้กล่าวกับประธานาธิบดีเนปาลด้วยถ้อยคำอันแข็งกร้าวอย่างยิ่งว่า ผู้ใดก็ตามที่คิดจะแบ่งแยกแผ่นดินจีน ไม่ว่าจะส่วนไหนของประเทศก็ตาม จะต้องพบจุดจบในสภาพที่ศพถูกบดขยี้จนแหลกเหลว กระดูกแตกเป็นผุยผง เรื่องที่คิดว่าจะสามารถแบ่งแยกแผ่นดินจีนได้ เป็นแค่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ ไม่มีทางเป็นจริงได้
ดังนั้นการที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงออกมาประกาศว่าใครมาแบ่งแยกดินแดนจีนจะจัดการขั้นเด็ดขาด ก็ขอให้สำเหนียกไว้ด้วย อย่าคิดว่าไปแอบทำอะไรลับ ๆ ไว้แล้วจะไม่มีใครรู้ จะแก้ตัวอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น
อ้อ โปรดอย่าลืมไปว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีฐานอำนาจแน่นหนาเข้มแข็งมากจริง ๆ ไม่น้อยกว่าท่านประธานเหมาเจ๋อตุงในอดีต และจะอยู่ในตำแหน่งไปอีกยาวนานไม่มีกำหนด
ดังนั้นการที่สถานทูตจีนในประเทศไทยออกมาโพสต์ Facebook ตำหนิการกระทำของนักการเมืองไทยที่เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของจีนที่ฮ่องกง เป็นการแสดงให้เห็นว่าพญามังกรนั้นพิโรธมาก
ผมเข้าใจได้ในทันทีว่าเหตุใดผู้บัญชาการทหารบกถึงต้องแถลงปรามเรื่องนี้ในเล็คเชอร์พิเศษ เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่ากองทัพไทยและหน่วยงานความมั่นคงของไทย รับทราบถึงกรณีดังกล่าว และน่าจะเป็นการทุเลาความโกรธของจีน เช่นเดียวกันกับที่นายกรัฐมนตรีก็ต้องออกมาพูดเรื่องนี้เช่นกัน เจ้าหน้าที่การข่าวของสถานทูตจีนในประเทศไทยก็ต้องเขียนรายงานข่าวกลับไปยังปักกิ่งเพื่อให้ผู้นำจีนทราบท่าทีของทางรัฐบาลไทยว่าได้มีการรับรู้และออกมาป้องปรามแล้วตามสมควร
ผมขอวิเคราะห์เท่าที่พอจะมีสติปัญญาและได้รับคำแนะนำจากผู้รู้เรื่องจีนอย่างยิ่งดังต่อไปนี้
1. ทูตจีนในประเทศไทยจะไม่มีทางแถลงอะไรเด็ดขาดหากไม่มีคำสั่งจากปักกิ่ง
2. สิ่งที่สถานทูตจีนในประเทศไทยแสดงออกมานั้นต้องถือว่าเป็นท่าทีทางการทูตและเป็นท่าทีของรัฐบาลจีนที่ต้องการแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลจีนเองไม่ได้พอใจเลยในสิ่งที่นักการเมืองบางคนทำ
และที่แถลงนี้ก็ถือว่าเบามาก ให้เกียรติและเกรงใจไทยอย่างมากที่สุด เพราะมีสัมพันธ์อันดีแน่นแฟ้นมาตลอด หากลองเปรียบเทียบท่าทีที่ สี จิ้นผิงแสดงต่อ Ted Cruz หรือ NBA หรือที่แถลงในเนปาลแล้วถือว่าข้อความที่สถานทูตจีนในประเทศไทยเขียนโพสต์บน Facebook นั้นถือว่าเบากว่ามาก (แม้ว่าพญามังกรจะพิโรธมากก็ตาม) แต่ก็ยังเกรงใจในความสัมพันธ์อันดีที่มียาวนาน
3. การแทรกแซงกิจการภายในของชาติอื่นนั้นเป็นสิ่งที่ทรามมากที่คนเป็นนักการเมืองหรือรัฐบาลต้องไม่ทำในกรณีนี้รัฐบาลไม่ได้ทำแต่นักการเมืองบางคนทำ
4. สายสัมพันธ์สองแผ่นดินของไทยและจีนไม่มีวันเสื่อมคลาย เรื่องนี้เป็นเรื่องของนักการเมืองบางคน ไม่ได้เป็นเรื่องระหว่างประชาชนและรัฐบาลสองแผ่นดิน
5. มิตรภาพไทย-จีนแน่นแฟ้นด้วยสายโลหิต และแน่นแฟ้นด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ของไทย ทรงเห็นความสำคัญและสัมพันธไมตรีอันดียิ่งระหว่างไทยกับจีน
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเห็นความสำคัญของจีนอย่างยิ่งและทรงแนะนำให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เริ่มต้นทรงพระอักษรภาษาจีนจนแตกฉาน ถึงกับทรงไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เป็นเวลาหนึ่งเดือน และทรงศึกษากับพระอาจารย์ที่สถานทูตจีนในประเทศไทยจัดถวายมาโดยตลอด ล่าสุดเพิ่งทรงรับการถวายเครื่องอิสริยาภรณ์ “รัฐมิตราภรณ์” จากประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ในโอกาส 70 ปี แห่งการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนในโลกที่จีนให้เกียรติและถวายความสำคัญมากเช่นนี้
ไทยจีนใช่อื่นไกล โดยสายเลือด คนไทยประมาณร้อยละ 40 มีเชื้อสายจีน ซึ่งหากเป็นในพื้นที่เมือง เช่นในกรุงเทพ คนไทยเชื้อสายจีน ย่อมมีมากกว่าร้อยละ 40 อย่างแน่นอน
แม้กระทั่งพระมหาบรมราชจักรีวงศ์ก็มีเชื้อสายจีนมาแต่ต้น พระอัครชายา (หยก) ทรงเป็นลูกจีนฮกเกี้ยน ทรงเป็นพระอัครชายาในสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก และเป็นพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
และพระบรมวงศานุวงศ์ก็มีเชื้อสายจีนมาโดยตลอด ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ในเจ้าจอมมารดาอ่วม พระอัยกาในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นหลานเจ้าสัวยม นามสกุลเดิม พิศลยบุตร ทำให้ทรงถูกล้อว่า วันจันทร์ ปีจอ เดือนเจ็ด ลูกเจ้า หลานเจ๊ก และพระรูปเมื่อยังทรงพระเยาว์ก็ขาวตี๋ งานดีเนื้อดีพิมพ์นิยม เป็นตี๋หล่อรูปงาม
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เกิดการอั้งยี่ในบริเวณสำเพ็ง เหตุการณ์กลับสงบลงด้วยพระบารมีเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลและสมเด็จพระอนุชาธิราชเสด็จประพาสเยี่ยมราษฎรในสำเพ็ง ความแตกแยกและการทะเลาะเบาะแว้งกันก็จบลงโดยพลัน
ไทยกับจีนนั้น ถึงอย่างไรก็ตัดกันไม่ได้ ขายกันไม่ขาดด้วยสายโลหิต
6. รัฐบาลจีนไม่ได้คาดหวังหรือกดดันให้รัฐบาลไทยต้องทำอะไรในกรณีนี้ เพราะรัฐบาลจีนก็ทราบดีว่ารัฐบาลไทยไม่อาจจะไปบังคับนักการเมืองคนนั้นให้ทำหรือไม่ทำอะไรได้หากไม่ผิดกฎหมาย อันเป็นไปตามวิถี่ทางประชาธิปไตยของไทย
และการที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ดอน ปรมัตถวินัย ได้ออกมาแถลงการณ์ในนามของรัฐบาลไทยในวันที่ 11 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยมีประเด็นสามประเด็นคือ
1) ปัญหาดังกล่าวเป็นกิจการภายในของสาธารณรัฐประชาชนจีน และรัฐบาลไทยเคารพหลักการ 1 ประเทศ 2 ระบบของจีน
2) รัฐบาลไทยเชื่อมั่นว่า เขตปกครองพิเศษฮ่องกง จะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างสันติ
3) รัฐบาลจีนก็รับทราบแล้ว และขอบคุณทางการไทย โดยรัฐบาลจีนมองว่า เป็นเรื่องส่วนบุคคล
จึงเป็นทางออกที่สวยงามและช่วยให้พญามังกรเห็นความจริงใจของไทยในการแสดงท่าทีห่วงใยในฐานะของเพื่อนเก่า “เหล่า เผิง โหย่ว (老朋友)” กับรัฐบาลจีนที่ต้องมีความห่วงใยกัน เข้าอกเข้าใจกันและกัน
7. อนาคตทางการเมืองของนักการเมืองคนนั้น ต้องถือว่าดับลงโดยสิ้นเชิงแล้ว การที่ปักกิ่งหมายหัวเช่นนี้ แปลว่าหมายหัวไปตลอดชีวิต
เรื่องนี้ร้ายแรงมาก ในบ้านเขาทะเลาะกันไม่ใช่เรื่องที่คนนอกจะเข้าไปแทรกแซงสาระแนหรือเข้าข้างยุยงปลุกปั่นฝ่ายใด นักการเมืองคนนั้นก็ต้องรับผลกรรมที่ทำเองไปทั้งหมด การจะขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีของนักการเมืองคนนั้นในอนาคตจะเป็นเรื่องลำบากมาก หากไม่ได้รับการยอมรับจากจีน ประเทศมหาอำนาจที่มีประชาชนมากที่สุดในโลก หากนึกไม่ออกก็ให้นึกถึงกรณีนายณรงค์ วงศ์วรรณ ที่ไม่อาจจะไปถึงดวงดาว ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะสหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับเช่นกัน ถึงกับไม่ออกวีซ่าสหรัฐอเมริกาให้
8. ท่าทีของรัฐบาลจีนคือการไม่ยอมรับการแบ่งแยกแผ่นดิน การล้มเจ้า การทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งจีนถือว่ามีสัมพันธ์อันดียิ่งกับจีน ทั้งนี้เป็นการสำแดงให้เห็นว่าจีนมีความคิดเห็นอย่างไรกับการเมืองไทย อย่างสุภาพและไม่ก้าวล่วงแต่อย่างใด เพราะนักการเมืองไทยไปก้าวล่วงเกินและแทรกแซงกิจการภายในและการเมืองภายในจีนก่อน ทำให้จีนต้องออกมาแสดงท่าทีเช่นนี้
9. ในอดีตเมื่อไทยกับจีนตัดขาดความสัมพันธ์ทางการทูตกันหลังจากจีนสถาปนาเป็นสาธารณรัฐและปกครองโดยระบอบคอมมิวนิสต์ คนไทยเชื้อสายจีนเป็นจำนวนมาก ต้องลำบากอย่างยิ่งในการวางตัว จะเรียนภาษาจีนก็ต้องแอบเรียน ต้องไปเปลี่ยนแซ่เป็นนามสกุลกัน การแสดงตัวเป็นคนไทยเชื้อสายจีนในสมัยนั้นไม่ได้รับการยอมรับ
แต่เมื่อสายสัมพันธ์ของสองประเทศกลับมามั่นคงแน่นแฟ้น การแสดงตัวว่าเป็นลูกจีนในไทยก็เป็นเรื่องปกติ และจะว่าไปแล้วสายสัมพันธ์สองแผ่นดินไทย-จีน หาใช่เรื่องการเมืองไม่ หากแต่เป็นสายสัมพันธ์โดยสายโลหิต
ลูกจีนที่เกิดบนแผ่นดินไทยส่วนใหญ่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่แผ่นดินไทยได้ให้ที่พึ่งที่อาศัยในเวลาที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นภายใต้พระบรมโพธิสมภาร หยก บูรพา ได้เขียนไว้ในนวนิยาย อยู่กับก๋ง เอาไว้ว่า
“ก๋ง” เป็นจีนแท้ มาเมืองไทยตั้งแต่อายุยังไม่เต็มยี่สิบ บำเพ็ญตนเยี่ยงข้าธุลีพระบาท ตลอดชีวิตอันยากไร้
เคารพกฎหมายไทย รักแผ่นดินไทย และเข้าใจคนไทย ดินที่จะกลบหน้าก๋ง ก็ต้องเป็นดินในเขตขัณฑสีมา ของพระมหากษัตริย์ไทย"
การวางตัวลำบากของลูกจีนในไทยในสมัยหนึ่งเป็นเพราะความขัดแย้งในการที่ตนเองต้องเป็นคนสองแผ่นดิน แผ่นดินหนึ่งเป็นแผ่นดินที่ให้กำเนิด และอีกแผ่นดินหนึ่งเป็นแผ่นดินที่ให้อาศัยและดำรงชีวิตได้
หากสองแผ่นดินดังกล่าวมีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่น ผู้ที่เป็นลูกหลานจีนอันเป็นคนสองแผ่นดินย่อมจะอึดอัดเป็นธรรมดา
แต่ก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่คนบางคน เลือกที่จะเนรคุณแผ่นดินที่บรรพบุรุษถือกำเนิดคือแผ่นดินจีน โดยการกระทำที่เข้าใปก้าวล่วงกิจการภายในของแผ่นดินของบรรพบุรุษ และยังเนรคุณแผ่นดินที่ตนเองและครอบครัวได้อยู่อาศัยทำมาหากินตักตวงจนร่ำรวย