ผู้จัดการสุดสัปดาห์
“เรียบร้อย ไม่มีอะไร” พร้อมกับท่าผายมือ ฉีกยิ้มกว้างให้แก่ผู้สื่อข่าวอย่างอารมณ์ดี เป็นภาษากายของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ “จงใจ” แสดงออกมาเพื่อส่งสัญญาณว่า ไม่ได้สะทกสะท้านใดๆ กับ “คลื่นใต้น้ำ” ภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่ “เสือหิว-เสือโหย” กำลังวิ่งกันอุตลุด กดดันกันแบบเอาเป็นเอาตาย
“ในเรื่องความขัดแย้งต่างๆ ผมคิดว่าไม่มี ผมคุยกับท่านรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ไปแล้ว เราไม่ได้พูดถึงโควตาของใคร ผมจัดสรรให้เหมาะสม ผมขอบคุณพลังประชารัฐทุกคนด้วย ทุกคนมีสิทธิ์จะพูด แต่คนตัดสินใจคือผม โดยการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน และคิดว่ามีความเห็นชอบร่วมกันอยู่แล้วในท้ายที่สุด”
คือคำประกาศ “ตัดจบ” ที่ “นายกฯ ตู่” ว่าไว้ก่อนหน้านั้น
ย้อนไปถึงมูลเหตุที่กลายมาเป็น “ไฟต์บังคับ” ทำให้ต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรีขนานใหญ่ แทนที่จะเป็นการปรับเปลี่ยนตามวงรอบปกติ ก็เป็นเพราะการวัดพลังกันระหว่าง “ทีม 3 ส.ดั้งเดิม” ในนาม “กลุ่มสามมิตร” กับ “ทีม 3 ป.” อันหมายถึง “บูรพาพยัคฆ์บราเทอร์ส” ผู้ทรงอำนาจในรัฐบาล
เดิม “กลุ่มสามมิตร” ที่ประกอบไปด้วย ส.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์, ส.สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ ส.สมศักดิ์ เทพสุทิน ที่บุกเบิกก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐมาด้วยกัน หวังใจที่จะใช้เสียง ส.ส.และการเมืองในระบบ ที่มี “ผู้แทนฯ” เป็นส่วนประกอบสำคัญ ในการ “คานอำนาจ” กับ “กลุ่ม 3 ป.”
หากแต่เวลาผ่านไป “ทีม 3 ป.” อันประกอบด้วย “ป.ประยุทธ์” พล.อ.ประยุทธ์. จันทร์โอชา, “ป.ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ “ป.ป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ถือว่าอยู่ในจุดที่ “เหนือกว่า”
ไม่เพียงแต่คานอำนาจ สร้างพาวเวอร์ให้กลุ่มนักเลือกตั้งไม่ได้เท่านั้น “กลุ่มสามมิตร” ยังถึงกับต้องแตกเป็นเสี่ยงกลายเป็น “สองมิตร” เมื่อ “3 ป.” จี้ถูกจุด เกาถูกที่คัน กับ “ข้อเสนอ” ที่ยากจะปฏิเสธ
ไม่ว่าจะเป็น “สัญญาใจ” ทั้งการสนับสนุน “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท หัวหอกของกลุ่มสามมิตร ให้ขึ้นชั้นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ หรือ “ล่อใจ” ด้วยกระทรวงพลังงาน สำหรับ “ส.สุริยะ” กระทั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำหรับ “ส.สมศักดิ์” ในอนาคตอันใกล้
เจอไม้นี้เข้าไป ทำเอา “สุริยะ-สมศักดิ์” ที่อ่อนไหวง่ายกับ “ลาภยศ” ประกาศทิ้งทุ่น “สมคิด” ที่ตัดช่องน้อยแต่พอตัวไปพร้อมกับ “ทีม 4 กุมาร” เหลือเพียง “สองมิตร” อย่างที่เห็น
เมื่อจับจุดได้ว่าการดจรจาต่อรองกับ “นักการเมือง - นักเลือกตั้ง” ต่อรองไม่ยากอย่างที่คิด เพราะเป็นมนุษย์สายพันธุ์ที่อ่อนระทวยง่ายๆ กับ “ข้อเสนองามๆ”
อีกทั้ง “สุริยะ - สมศักดิ์” เองก็มี “จุดอ่อน” ในความเป็นนักการเมืองเก่า ชื่อเสียงที่ผ่านมาหนักไปทาง “แง่ลบ” ถูกนับหัวเป็นหนึ่งใน “รมต.เต้าหูยี้” สมญาบาดใจในอดีต
ปฏิบัติการ “เสร็จนา ฆ่าโคถึก” ที่กระทำกับ “ทีมสมคิด-4 กุมาร” ก็ถูกงัดมาใช้กับ “สองมิตร” อีกครั้ง
แต่คราวนี้ “เสร็จศึก” ก็ “เสร็จลุง” แบบเบ็ดเสร็จ
ชัดๆ กับคำพูดของ “ลุงป้อม” ที่ระบุว่า ไม่เคยมีสัญญาใจกับใคร หลังถูกปล่อยข่าวว่า “พี่ใหญ่” รับปากเป็นมั่นเหมาะว่า จะสนับสนุนให้ “สุริยะ” เป็น รมว.พลังงาน พร้อมกำหนดช่วงประเมินผลงาน 6 เดือน
ข่าวหลุดออกมาข้ามวัน “สัญญาใจ” ถูกคว่ำทิ้งทันที
ซ้ำอีกดอกกับคำตอบของ “ป.ประยุทธ์” ในประเด็นที่ว่า “บิ๊กซัน” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม อาจจะได้เติมเต็มความฝันไปนั่ง รมว.พลังงาน ที่ “นายกฯตู่” กล่าวราวกับตัวเองเป็น “บุคคลที่ 3” ว่า "ไม่รู้เหมือนกัน เขาก็พูดกันมาว่านายกรัฐมนตรีเป็นคนตัดสินใจ ส่วนจะได้หรือไม่ได้ก็แล้วแต่ เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตัดสินใจ"
ทั้งหลายทั้งมวลก็เพื่อย้ำ “คำสำคัญ” ชัดๆว่า “คนตัดสินใจคือผม”
เป็นไปตามแผนการที่ “พี่น้อง 3 ป.” ปูทางไว้ล่วงหน้าแล้วว่า โควตารัฐมนตรี 4 เก้าอี้ที่ยึดคืนได้จาก “ทีมสมคิด-4 กุมาร” นั้นถูกดึงเข้า “โควตากลาง” หรือพูดให้ถูกคือ “โควตานายกฯ” ทั้งหมด
เอาเข้าจริง ก่อนหน้านี้กลุ่ม-ก๊วนในพรรคพลังประชารัฐ ที่ร่วมกันโค่น “ทีม 4 กุมาร” อวยยศให้ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค ยังไม่มีใครเชื่อว่า ที่สุดแล้ว “เก้าอี้ 4 กุมาร” จะถูกรวบไปกองอยู่ที่นายกฯ
เพราะต่างก็เชื่อว่า จะใช้ความดีความชอบจากขบวนการยึดพรรค บวกกับใบบุญของ “พี่ใหญ่” ในการต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี กับ “น้องตู่” ทว่าการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น
เดิมพรรคพลังประชารัฐเตรียมเสนอรายชื่อรัฐมนตรีในส่วนของพรรคเสนอแก่นายกฯ ประกอบการปรับคณะรัฐมนตรีงวดนี้ ไว้เต็มอัตรา 5 ตำแหน่ง ทั้งที่เสียบเข้าไป และส่วนที่ต้องการอัพเกรด ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้สัญญาณใดๆ จาก “ตึกไทยคู่ฟ้า”
จัดแจงเสร็จสรรพให้ “สุริยะ” โยกไปคุมกระทรวงพลังงาน เปิดหลุม รมว.อุตสาหกรรม ให้ “เสี่ยแฮ้งค์” อนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เข้ามาเสียบแทน พร้อมดัน “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี และรองหัวหน้าพรรค เป็น รมว.แรงงาน, “มาดามแหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่สำคัญยังชง “ขมปี๋” ให้ “บิ๊กป้อม - พล.อ.ประวิตร” ไปเป็นรองนายกฯ ควบ รมว.มหาดไทย ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่า “กระทรวงคลองหลอด” นั้นมีเจ้าของอยู่แล้ว
ร่างหนังสือเตรียมไว้แล้ว แต่ยังไม่ทันที่ “ลุงป้อม” ในฐานะหัวหน้าพรรคจะจรดปากกาเซ็น กลับต้องฟัง “ข่าวร้าย” จากปาก “ลุงป้อม” เองว่า นายกฯให้โควตาพรรค 2-3 คนในการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ หรืออาจจะได้มากกว่านี้ก็แล้วแต่นายกฯ โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นตำแหน่งอะไรบ้าง
ไม่ต่างจาก “รถผ้าป่า” ที่ “เบรกแตก-แหกโค้ง” ก่อนถึงวัด
ที่ช้ำสุดคงไม่พ้น “สองมิตร” ที่สู้อุตส่าห์หักหลัง “ทีมสมคิด” มาร่วมปล้น แต่กลับไม่มีสิทธิ์มีเสียงในยามแบ่งสมบัติ
แม้ตามโผการปรับคณะรัฐมนตรีล่าสุด จำมีชื่อ “เสี่ยแฮงค์-อนุชา” จะถึงฝั่งเป็น “เสนาบดี” หนแรกในชีวิตค่อนข้างแน่แล้ว แต่คงมองเป็นการบำเหน็จความดีความชอบไม่ได้ เพราะเหมือนเป็นการ “ใช้หนี้” หลังพลาดหวังเก้าอี้รัฐมนตรีงวดที่แล้วเท่านั้น
ทว่าต้องไม่ลืม “ความฝันอันสูงสุด” ในการสถาปนา “ประมุขสามมิตร” อย่าง “บิ๊กซัน-สุริยะ” เข้าป้าย “แหล่งขุมทรัพย์” อย่างกระทรวงพลังงานมากกว่า
ร้ายกว่านั้น เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า เบื้องลึกแล้ว “พี่ใหญ่” ออกแรงไฟต์ให้กับ “อาจารย์แหม่ม” ได้เป็นรัฐมนตรี มากกว่าที่จะไฟต์ให้ “สุริยะ” เป็น รมว.พลังงาน เสียอีก
แล้วยังมีรายการ “ว๊าก” ใส่ ไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค ที่ดันไปประกาศเสนอชื่อ “สุริยะ” ให้ดำรงตำแหน่ง รมว.พลังงาน เพราะถือเป็นการกดดัน “นายกฯ ตู่” พร้อมคาดโทษว่า หากใครไม่เชื่อฟัง ต่อไปนี้จะมีการลงโทษอีกด้วย
ขณะที่ “นฤมล” เองก็เหมือนจะ “วิน” โอกาสได้เป็นรัฐมนตรีสูงปรึ๊ด แต่ลืมไม่ได้อีกว่า เธอเปิดตัวหวังฟาดถึง “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” เลยทีเดียว
แม้แต่ “เสี่ยเฮ้ง-สุชาติ” ที่เป็น “เด็กบ้านป่าใหญ่” ก็อาจจะได้ไปฝึกงานในตำแหน่ง “ช่วยว่าการ” แทนที่จะได้ รมว.แรงงาน อย่างที่หวัง แม้ว่า “ลุงตู่” จะไปทวงคืนจาก “พรรคกำนัน” มาได้ก็ตาม
เป้าหมายที่จ้องกันตาเป็นประกาย ทั้งกระทรวงพลังงาน หรือหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ก็ต้องหลีกให้ “คนนอก” ที่ภาพลักษณ์ยังไม่ช้ำอย่าง ปรีดี ดาวฉาย - ไพรินทร์ ชูโชติถาวร ตลอดจน สุพัฒนพงศ์ พันธ์มีเชาว์ อดีตผู้บริหาร ปตท.เคมิคอล หรือ “ทีมที่ปรึกษานายกฯ” อีกหลายคนที่แต่งตัวรออยู่
เหตุผลหรือข้ออ้างมีไม่ยาก รู้กันดีว่า กระแสความยอมรับที่มีต่อนักการเมืองนั้น “ติดลบ” แล้วหากบทสรุปของความวุ่นวายในพรรคพลังประชารัฐ หรีอในรัฐบาล ปรากฏว่า “นักการเมือง” ได้เป็นใหญ่ สมประโยชน์อย่างที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ก็อาจยิ่งนำพา “รัฐบาลลุง” เข้าสู่ “จุดเสื่อม” ไปมากกว่านี้
“บิ๊กตู่” จึงต้องการชู “คนนอก” เข้ามาเสริมคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ “ดูดีขึ้น”
ไม่ใช่แค่ไม่ “เหนื่อยฟรี” งานนี้ “สองมิตร” ยังโดนตีเป้าอีก เมื่อจังหวะใกล้เคียงกัน “เจ๊เป้า” อนงค์วรรณ เทพสุทิน อดีต รมวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สมัยรัฐบาลอภสิทธิ์ ถูก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งข้อกล่าวหา
“อนงค์วรรณ” ไม่ใช่ใครที่ไหน ศรีภรรยา สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม หัวหอกตัวกลั่นขงองกลุ่มสามมิตรนั่นเอง และโดยส่วนตัว “สมศักดิ์” นาทีนี้ก็ใช่ว่าจะอยู่ใน “เซฟโซน” ระยะหลัง “ทีมงาน” สร้างวีรกรรมไว้พอสมควร จนทำให้อนาคตอันใกล้ไม่แน่ไม่นอน ฝันไกล “โคล้านตัว” ที่กระทรวงเกษตรฯก็ดูจะห่างออกไปเรื่อยๆ
เรื่องแบบนี้ไม่ได้เพิ่งมาคิดแบบปัจจุบันทันด่วน แต่คิดมาตั้งแต่ต้น ปล่อยให้ “นักการเมือง” สวมวิญญาณ “ซอมบี้เสือหิว” ไล่ฟัดจน “ทีมสมคิด-สี่กุมาร” อยู่ไม่ไหว
ขณะที่ “3 ป.” ก็แบ่งกันเล่นตามบท โดยเฉพาะรายของ “ลุงป้อม” ที่เล่นบท “ผู้ใหญ่ใจดี” รับปากทุกกลุ่มทุกก๊วนดิบดี สุดท้ายโยนง่ายๆว่าเป็น อำนาจนายกฯ “ป.ประยุทธ์”
ส่วนรายของ “ป.ป๊อก - อนุพงษ์” รายนี้เงียบสุด “เว้นระยะ” ไม่สุงสิงใดๆ กับนักการเมืองอย่างเด็ดขาด และยังไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ทั้งที่พรรคพลังประชารัฐพยายามขย่มขาเก้าอี้ มท.1 เพื่อให้ “ลุงป้อม” เข้ามาทำหน้าที่แทน เพราะรู้ดีว่าสัมพันธ์ “บูรพาพยัคฆ์บราเทอร์ส” แนบแน่น เกินกว่าใครจะมา “เสี้ยม” ง่ายๆ
ตรงนี้ “ลุง ป.ป้อม” ก็พูดชัดทั้งกับสื่อ และต่อหน้าที่ประชุมพรรคพลังประชารัฐ ที่หนุนสุดตัวให้ย้ายที่ทำงานไปประจำการที่ “กระทรวงคลองหลอด” เพื่อที่ ส.ส.จะได้ลืมตาอ้าปาก ทำงานในพื้นที่ไม่ติดขัด และเตรียมการเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศ ขยายฐานเสียงให้พรรค เพื่อก้าวสู่การเป็นพรรคอันดับ 1
เหตุผลร้อยแปด แต่ “ลุงป้อม” ตอบสั้นๆง่ายๆได้ใจความว่า ไม่ไหวแล้ว ไม่ขอรับตำแหน่ง รมว.มหาดไทย
เท่ากับว่า “อำนาจต่อรอง” ของพรรคการเมืองที่มี ส.ส. “สิบโหล” ก็หาได้ทัดเทียมกับพาวเวอร์ของ “3 ป.” ได้แม้แต่เล็กน้อย
ไม่เพียงแค่ภายในพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น ความเบ็ดเสร็จของ “3 ลุง” ยังขจรขจายไปถึงพรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ก็ดูเหมือนเลือกที่จะไม่ขยับ “ผู้เล่น” ในรอบนี้ ด้วยรู้ว่าอาจเป็นช่องให้ “ทีม 3 ป.” ทวงกระทรวงสำคัญคืน
หรืออย่างโควตาพรรคชาติพัฒนา ที่ เทวัญ ลิปตพัลลภ ลาออกจาก รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ก็ยังถูกดึงเข้า “กองกลาง” ทั้งที่มีหลายพรรค โดยเฉพาะพรรคพลังท้องถิ่นไทย ของ “ชัช เตาปูน” ชัชวาลย์ คงอุดม หัวหน้าพรรค ที่สุมกำลัง ส.ส.พรรคเล้ก ได้เกือบ 10 คน จ้องอยู่
จนต้องยอมรับ ความเหนือชั้น-เด็ดขาดของ “3 ป.” ที่ทำให้ “แต้มต่อ” ของตัวเอง เหนือกว่า “นักการเมือง” หลายขุม
อย่างไรก็ดี ปัญหามีว่า “3 ป.” จะคอนโทรลพาวเวอร์ไปได้ยาวแค่ไหน เพราะอย่างน้อยการทำงานของรัฐบาล ก็ยังต้องผูกโยงกับสภาผู้แทนราษฎร ที่แม้วันนี้ฝ่ายรัฐบาลจะพ้นสภาวะ “ปริ่มน้ำ” มาพอสมควรแล้ว แต่ก็ยังมี “รายการขู่” ให้เห็นบ่อยๆ
ไม่ว่าจะเป็นการเหตุการณ์ “สภาล่ม” 3 ครั้งในรอบไม่ถึงปี ที่ว่ากันว่าครั้งล่าวุดเป็นฝีมือคนในรัฐบาลเอง หรืออย่างการประชุมคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 ก็ยัง “ล่ม” เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ทั้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เผื่อวันใดวันหนึ่ง “นักเลือกตั้ง” พร้อมใจกัน “พยศ” ขึ้นมา ก็น่าห่วงไม่น้อย โดยเฉพาะวาระสำคัญอย่างร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯในวาระที่ 2-3 ที่จะเข้าสภาฯอีกครั้งช่วงเดือน ก.ย.นี้ ที่เรียกว่า ชี้ชะตารัฐบาลได้เลย
จริงอยู่ ส.ส.ไม่ว่าฝ่ายค้าน-รัฐบาล คงไม่มีใครอยากเลือกตั้งบ่อยๆ แต่หากการต่อรองใดๆไม่ลงตัว หนทาง “ล้มกระดาน” ก็มีความเป็นไปได้สูงเหมือนกัน
การบริหารอำนาจในฝ่ายรัฐบาลของ “3 ป.” ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ก็จำเป็นต้องประคอง “คะแนนนิยม” ของรัฐบาล หรือโดยเฉพาะของ “ลุงตู่” ควบคู่กันไปด้วย
การที่ “ลุงตู่” พยายามประกาศตัวว่าเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจด้วยตัวเอง และมีแนวโน้มจะไม่ตั้งรองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจด้วย ก็วเท่ากับเป็นการทำลาย “แนวกันชน” ทิ้ง แล้วหากมีผลกระทบหรือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้านเศราฐกิจใดๆ ก็ย่อมทะลวงมาถึงตัว “ประยุทธ์” เองตรงๆ
ไม่เท่านั้น “คนนอก” ที่ดึงเข้ามาเป็น “ขุนพลเศรษฐกิจ” ไม่ว่าจะเป็น “ปรีดี-ไพรินทร์” หรือ “สุพัฒนพงษ์” แม้จะมีเครดิตในภาคธุรกิจเอกชน แต่ในแง่การบริหารประเทศก็แทบจะเท่ากับ “ศูนย์” ถึง “ไพรินทร์” จะมีประสบการณ์มาบ้าง แต่ก็แค่ระดับ “ช่วยว่าการ” ที่กระทรวงคมนาคม และกระทรวงศึกษาธิการ เท่านั้น
ขณะที่ “ปรีดี” ที่ดู “นายกฯตู่” จะคาดหวังค่อนข้างสูงว่าจะใช้ประสบการณ์ที่แบงค์ใหญ่มาช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ “เอสเอ็มอี” ที่เป็นตัวความหวังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แทนที่การท่องเที่ยวและส่งออก ที่ทำท่าจะฟื้นยาก
แล้วต้องไม่ลืมว่าพื้นเพของ “ปรีดี” นั้เนคือนักกฎหมาย และชื่อเสียงที่สั่งสมมาจาก “แบงก์สีเขียว” นั้นก็อยู่ภายในร่มเงา และบัญชาโดย “บิ๊กบอส” อย่าง บัณฑูร ล่ำซำ มาโดยตลอด ไม่เท่านั้นผลงานปลุกปั้น “เอสเอ็มอี” ที่ว่ากันว่า “ตีแตก” โดดเด่นนั้น คงต้องเจาะลึกลงไปว่า “เอสเอ็มอี” ที่ “แบงค์สีเขียว” บูมๆกันตอนนั้น บัดนี้กลายเป็น “เอ็นพีแอล” มากน้อยขนาดไหน
ไม่ต้องชั้นเซียนที่ไหนก็รู้ว่า มาตรการกระตุ้น “เอสเอ็มอี” ไม่ยาก แค่ต่อปลั๊กให้ถึง “ทุน” ที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ปล่อยกู้ เข้าอิหรอบนี้จริง ก็อาจแค่ทำให้ “เอสเอ็มอี” มีทุนไปปลดสถานะ “เอ็นพีแอล” ที่แบงค์เดิม มาเป็น “เอ็นพีแอล” กับ “แบงค์รัฐ” แทนหรือไม่
หรือไอเดียให้ “ปรีดี” ไปดูแลกระทรวงพลังงาน สลับ “ไพรินทร์” ผู้เชี่ยวชาญพลังงาน ไปเป็น “ขุนคลัง” ก็ดูจะ “ผิดที่ผิดทาง” ไปกันใหญ่
เมื่อไม่มี “กันชน” การที่ทุกสิ่งอย่างวิ่งตรงมาที่ “ลุงตู่” ก็ต้องรอดูว่า นายกฯจะมี “ภูมิคุ้มกัน” รับผลลัพธ์ที่ตามมาได้ได้ขนาดไหน
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ หลังกัน “พี่ป้อม” ออกจากงานด้านความมั่นคง ไปดูงานเรื่องน้ำ เรื่องไอที เรื่องอวกาศ หลายประเด็นเกี่ยวกับความมั่นคง “น้องตู่” เองก็ยังไม่สามารถจัดการ หรือตอบคำถามได้ หลายหนก็ถึงขั้นออกอาการ “นอตหลุด”
ในยามที่รัฐบาลถูก “ม็อบมุ้งมิ้ง” รุกไล่ แล้วยังต้องมาเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจ การเมืองก็ไม่แน่นอน กวนอกกวนใจเข้าไปอีก เรียกว่าเรื่องร้ายๆ เรื่องร้อนๆ ทุกอย่างมากองรวมศูนย์ที่ “นายกฯ ตู่” เพียงผู้เดียว
วันนี้เท่ากับว่า “ป.ประยุทธ์” กุมอำนาจบริหารราชการไว้แต่เพียงผู้เดียว
เป็นผู้ชนะแต่เพียงผู้เดียวจะเอาอย่างงี้หรือ??...ไหวหรือลุง