ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกลุงจัดการสะกดวิญญาณ “สองมิตร” สุริยะ-สมศักดิ์
ความเคลื่อนไหวของการปรับ ครม.ประยุทธ์ 2/2 ข่าวว่า เมื่อวาน (22 ก.ค.) “ลุงตู่” ยิ้มหน้าระรื่น อารมณ์เบิกบานพร้อมผายมือบอก “เรียบร้อย ไม่มีอะไร”
นี่อาจจะตีความได้ว่า ขณะนี้รายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เรียบร้อยโรงเรียนลุงๆ กันแล้ว ทีนี้คำถามก็คือว่า ใครจะไปใครจะมาบ้าง แล้วคนที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ลงมติส่งไปให้ “ลุงป้อม” พล.องประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เพื่อส่งให้ “ลุงตู่” ล่ะจะได้รับพิจารณาสมมาดปรารถนา กันหรือไม่
ทั้ง “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ-สุชาติ ชมกลิ่น-อนุชา นาคาศัย” แล้วก้อโฆษกรัฐบาลสายบ้องแบ๊ว “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” ที่พรรคมีมติ แต่ละคนออกตัวแรงๆ กันทั้งนั้น... แต่จะถึงจุดหมายปลายทางกันมั้ย จับจากคำพูดของ “ลุงป้อม” ล่าสุด ก็ให้น่าคับอกคับใจแทน เพราะลุงป้อมไม่รับประกันมติพรรคเรื่องรายชื่อ ส่งใคร ส่งกี่ชื่อ อ้างว่า “มันเป็นเรื่องลับ ต้องรอนากยกฯ ...นายกฯจะเอาใครก็ได้ แล้วแต่นายกฯ”
ยิ่งตำแหน่ง รมว.พลังงาน ของ “สุริยะ” ที่เป็นประเด็นกัน พรรคยืนยันแล้ว แต่ “ลุงป้อม” นอกจากวันก่อนจะบอกว่า ไม่มีสัญญิงสัญญาใจอะไร วันนี้ก็บอกชัดๆ ว่า ไม่มี ไม่มีการส่งรายชื่อใคร ไม่ส่ง... ถ้าเป็นตามนี้ สุริยะก็คงต้องซดแห้วอีกรอบ !!
นอกจากหัวหน้าพรรคจะหักดิบ คนที่ออกตัวแรง คนที่วิ่งสู้ฟัดเคียงข้างสุริยะในก๊วน “สองมิตร” อย่าง “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็ดูเหมือนจะรับสภาพ “รถคว่ำ” โดนลุงๆ เทกระจาด ปัดโผ ครม. ตามมติพรรค พปชร. ทิ้งไปไม่ไยดี ทั้งๆ ที่สู้ตายถวายหัวปฏิบัติการยึดพรรค และขจัด “สี่กุมาร” ออกพ้นทาง
ฟังว่า “สมศักดิ์” ตัดพ้อว่า “สุริยะและอนุชา” ไม่ได้ตำแหน่งตามที่ต้องการ ก็แล้วแต่ลุงป้อมจะคิดพิจารณา และถือเป็นเรื่องของพรรคที่จะพิจารณาว่า พรรคพลังประชารัฐ ยังเป็นพลังหรือไม่ ซึ่งพวกตนได้ทำตามหน้าที่ของตนเอง ครบถ้วนแล้ว จึงไม่อยากคิดมาก เพราะหากคิดมากก็คงนอนไม่หลับ
เรื่อง “สุริยะและอนุชา” แกนนำก๊วนสองมิตรจะซดแห้ว รมว.นี้ ก็เรื่องหนึ่ง อีกเรื่องที่มาพร้อมๆ กัน ก็อาจจะทำให้สมศักดิ์ นอนไม่หลับมากกว่า นั่นก็คือ วันเดียวกันนี้ มีรายงานว่า ภรรยารัก “อนงค์วรรณ เทพสุทิน” ถูกคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวบรวมข้อมูลหลักฐาน เสนอที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ พิจารณา หลังมีมติแจ้งข้อกล่าวหา “อนงค์วรรณ” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กับพวก กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ เกี่ยวกับโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรดินและป่าไม้ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ เพื่อลดผลกระทบภาวะวิกฤตโลกร้อน หรือที่เรียกว่า “โครงการฝายแม้ว” ในช่วงงบประมาณปี 2551 วงเงินจำนวน 770 ล้านบาท ซึ่งมีการก่อสร้างฝายต้นน้ำแบบผสมผสาน และการเพาะชำ/ปลูกหญ้าแฝกโดยมิชอบ และหักเงินโครงการดังกล่าวเพื่อประโยชน์สำหรับตนเอง และผู้อื่นโดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ...
ถ้าดูตามรูปการณ์ก็ช่างประจวบเหมาะกันอย่างบังเอิญจนเกินไป เพราะก็รู้ๆ กันเรื่อง “ภรรยาสมศักดิ์” ถูกพักไว้มานานปีที่ ป.ป.ช. ทำไมเกิดมาเฮี้ยนเอาตอนเข้าด้ายเข้าเข็ม สองมิตรกำลังลำพองผยองเดชกัน จะฟาดเก้าอี้ รมว.อยู่แล้วเชียว !!
คล้ายๆ “สมศักดิ์” จะโดนกระนาบฟาดด้วยไม้หน้าสาม สกัดสะกดวิญญาณลดความอหังการ์ของสองมิตร... เข้าตำรา “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าสุริยะ-สมศักดิ์” ตามสไตล์ลุง
งานนี้เสร็จลุงๆ กินรวบไปอีกหนึ่งยก แล้วก็จะเป็นอุทาหรณ์ไว้สอนใจใครก็ตาม ทำงานให้ลุงๆ แทบตาย สุดท้ายก็ได้เท่านี้แหละ
.
**เทียบฟอร์มตัวเก็งรัฐมนตรีพลังงาน ไพรินทร์ VS สุริยะ และ ม้ามืดมือที่สาม !
ว่าด้วยตำแหน่งรัฐมนตรีพลังงานที่เป็นไฮไลต์ของการปรับ ครม.ประยุทธ์ 2/2 ครั้งนี้ ใครจะได้นั่งว่าการพลังงาน กลายเป็นประเด็นให้ดาดเดาชนิดพลิกไปพลิกมา ... ว่ากันว่า พอเขี่ย “ทีมสี่กุมาร” จัดการกับ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” ออกจากเก้าอี้นี้ได้ ลุงๆ ก็วางแผนกันไว้ล่วงหน้าว่าจะตีตราจองให้ “ไพรินทร์ ชูโชติถาวร” อดีต รมช.คมนาคม สมัยรัฐบาล คสช. และอดีตซีอีโอ ปตท. เข้ามาแทนที่ โดยตกลงใช้เหตุผลของนายกฯ ที่เป็นผู้จัดการ ครม.แต่เพียงผู้เดียว เป็นโควตากลางที่นายกฯลุงตู่ ขอพี่ป้อม หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ไม่อาจปฏิเสธได้
แต่เมื่อถึงเวลาดูท่า “ไพรินทร์” จะเข้าวินใสๆ...“กลุ่มสองมิตร” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ สมศักดิ์ เทพสุทิน ก็จับมือกับแกนนำ พปชร. ขาใหญ่อย่าง “วิรัช รัตนเศรษฐ” ออกมาทวงสัญญาใจกับลุงป้อม กดดันลุงตู่ ซึ่งต่อมาก็ใช้มติพรรค เสนอชื่อ “สุริยะ” เปิดหน้าท้าชก “ไพรินทร์” คนนอกอย่างเปิดเผย
ระหว่าง “ไพรินทร์ กับ สุริยะ” ใครเหมาะจะนั่งว่าการกระทรวงพลังงานมากกว่ากัน ก็เลยกลายเป็นประเด็นขึ้นมา
ทีนี้มาเทียบฟอร์มกันดู... แน่นอน “ไพรินทร์” จุดแข็งคือเป็นคนของนายกฯ รู้มือกันในการทำงาน จะสั่งการอะไร อย่างไร ย่อมสนองตอบลุงได้ดีกว่าสุรืยะ ที่สังคมมองภาพเป็นนักการเมืองรุ่นเก่า ออกไปทางลบที่แสดงออกจ้องตาเป็นมันกับเก้าอี้ รมว.พลังงาน มาแต่ไหนแต่ไร...
พูดง่ายๆ สังคมให้ความน่าเชื่อถือต่ำกับนักการเมืองลักษณะแบบสุริยะ ว่าเข้ามาแล้วจะไม่ถอนทุน ยิ่งกระทรวงนี้ได้ชื่อว่าเป็นขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าที่กุมผลประโยชน์ด้านพลังงานของประเทศหลายแสนล้าน... ภาพ “สุริยะ” ยิ่งสู้ “ไพรินทร์” ไม่ได้ถ้ามองมุมนี้
แต่ต้องไม่ลืมว่า “สุริยะ” มั่นใจตัวเองว่ามีจุดแข็งเหนือ “ไพรินทร์” ที่สัญญาใจ ที่แม้ลุงป้อมจะปฏิเสธยังไง สังคมก็เชื่อว่ามีแน่ๆ
ด้านเรื่องความรอบรู้พลังงาน “ไพรินทร์” ได้โปรไฟล์จากอดีตที่เคยอยู่ ปตท. เป็นแต้มต่อ แต่ขณะเดียวกัน ก็เป็นจุดเสียเปรียบ “สุริยะ” ที่ดีกรีในความเป็นนักธุรกิจ และมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมอื่นๆ มากกว่า และการที่ไพรินทร์อยู่ ปตท. ก็อาจจะเป็นจุดอ่อนได้เช่นกันหากมองว่า ปตท.เป็นกิจการผูกขาด การตอบสนองต่อประชาชน วิสาหกิจชุมชน อาจจะคาดหวังอะไรไม่ได้...
ตรงกันข้ามกับความเป็นนักการเมืองของ “สุริยะ” ที่เล่นกับกระแส หาเสียงกับประชาชนได้ดีกว่าแน่ๆ แม้จะต้องเสี่ยงกับเรื่องผลประโยชน์ของรัฐซะหน่อยก็ตาม
เมื่อดูกระแสสังคม “ไพรินทร์” ย่อมได้เปรียบ “สุริยะ” อยู่นิดๆ แต่ในการจัดการเรื่องการเมืองของพรรค พปชร. จะก่อคลื่นใต้น้ำหรือไม่ หากสุริยะต้องวืดตำแหน่งนี้ ก็เป็นประเด็นกดดันของลุงๆ อยู่ลับๆ ซึ่งดูอาการล่าสุด “ลุงป้อม” ดูจะโนแคร์ เพราะบอกกับสื่อโต้งๆ ว่า ไม่ได้ส่ง ไม่มีชื่อสุริยะ นั่ง รมว.พลังงาน ให้ลุงตู่ ...หักกับมติพรรค พปชร.แบบไร้เยื่อใย
ถึงตอนนี้เหมือนว่า “ไพรินทร์” จะทวงโล่ง “สุริยะ” ถูกดับฝันไปแล้วจากคำของลุงป้อม !!
ทว่า เมื่อสองคนสัประยุทธ์ ไม่ใช่เราตายก็เป็นท่านสิ้น แว่วว่าถ้า ไพรินทร์ และ สุริยะ หากกระแสสังคมไม่ตอบรับ และความขัดแย้งกดดันจนบานปลาย ฝืนไปต่อไม่ไหวทั้งคู่ ลุงๆ ก็มี “ตาอยู่” ที่เตรียมพร้อมไว้แล้ว
ว่ากันว่า ม้ามืดคนนี้ ที่จะเปลี่ยนเป็นมือที่สามได้เลยไม่ใช่ใครที่ไหน คือ คนใกล้ตัวลุงตู่ ทึ่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจที่ทำหน้าที่มาตั้งแต่สมัย คสช.ที่ชื่อว่า “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” อดีต ซีอีโอ PTTGC ในเครือ ปตท.
คนที่รู้จัก “สุพัฒน์พงษ์” ดีจะรู้ว่าเป็นคนที่มีบุคคลิก “ผู้ใหญ่ใจดี” มนุษยสัมพันธ์ดี มีความรู้ เข้าใจการเมือง ภาคประชาชน และ ธุรกิจผลงานที่ทำให้นายกฯ เช่น กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) สำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี เรียกว่า นายกฯ ขอคำปรึกษาอยู่ตลอดเวลา
งานนี้ก็ต้องรอจนนาทีสุดท้ายเมื่อหงายไพ่ออกมาแล้วถึงจะรู้ว่า รมว.พลังงาน คือใคร!!
**“นิวัฒน์ธำรง-สุรนันทน์” รับกรรมแทนนาย!! เมื่อ ป.ป.ช.ฟัน “ยิ่งลักษณ์” ฮั้วประมูลจัดอีเวนต์โปรโมตโครงการสร้างอนาคตไทย สูญงบ 240 ล้าน
เพิ่มอีกคดีทุจริต สำหรับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกฯ เมื่อ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด “ฮั้วประมูล” ในโครงการ “Roadshow สร้างอนาคตไทย Thailand 2020” โดยคดีนี้ ผู้ที่ถูกกล่าวหามีทั้งนักการเมือง ข้าราชการ และเอกชน รวม17 ราย โดยในกลุ่มนักการเมืองนอกจาก “ยิ่งลักษณ์” แล้ว ก็มี “สุรนันทน์ เวชชาชีวะ” อดีตเลขาธิการนายกฯ และ “นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล” อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ...ส่วนกลุ่มข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ 9 ราย เป็นผู้จัดทำราคากลาง และจัดซื้อจัดจ้าง และกลุ่มเอกชนอีก 5 ราย
เรื่องนี้ต้องย้อนไปเมื่อ “ยิ่งลักษณ์” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่า จะมีการพัฒนาระบบโครงสร้งพื้นฐานด้านการขนส่งทางราง ระบบรถไฟทางคู่เชื่อมชานเมือง และหัวเมือง ศึกษาและพัฒนารถไฟความเร็วสูง
จากนั้น ครม.ก็มีมติให้ ยกร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อลงทุนในโครงการดังกล่าว หรือที่เรียกกันว่า “พ.ร.บ.กู้เงินสองล้านล้าน” ต่อมา ครม.มีมติเห็นชอบในแผนดังกล่าว...จึงเป็นที่มาของการจัดอีเวนต์ “โรดโชว์” เพื่อประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน โดยจะจัดโรดโชว์ ใน 12 จังหวัดทั่วประเทศ ตั้งงบฯไว้จังหวัดละ 20 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 240 ล้านบาท โดยมี “บริษัท มติชน” รับหน้าเสื่อเป็นแม่งานหลักในการคิดรูปแบบการจัดงาน
เป็นการทำไปทั้งที่ยังไม่มีกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบ และ เมื่อตรวจสอบงบฯ ปี 56 ก็ไม่ได้ระบุแผนงาน โครงการดังกล่าวไว้ ประกอบกับงบฯ ปี 57 ก็ประกาศใช้ไม่ทัน “ยิ่งลักษณ์” จึงได้อนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น วงเงิน 40 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดงานใน 2 จังหวัดไปก่อน คือที่ จ.หนองคาย และ นครราชสีมา
โรดโชว์ใน 2 จังหวัดดังกล่าว ผู้ที่ได้งานไปคือ “บริษัท มติชน” ที่ได้ยื่นเอกสารเสนอราคาในวงเงิน 40 ล้านบาท ซึ่ง สุรนันทน์ และ นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ก็เห็นสมควรอนุมัติจัดจ้าง และมอบอำนาจให้ ผอ.สำนักบริหารกลาง ลงนามในหนังสือสั่งจ้าง
ส่วนอีก 10 จังหวัดที่เหลือ วงเงิน 200 ล้านบาท สุรนันทน์ และนิวัฒน์ธำรง ก็ให้นำราคาที่ใช้ในการจ้างบริษัท มติชน มาเป็นราคากลางในการจัดจ้าง คือ จังหวัดละ 20 ล้าน โดยแบ่งการจัดจ้างเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 5 จังหวัด ... รอบนี้ บริษัท มติชน และบริษัท สยามสปอร์ต ได้รับงานไปบริษัทละ 5 จังหวัด
ต่อมาได้มีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยว่า “ร่าง พ.ร.บ.กู้เงินสองล้านล้าน” ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และมีข้อความขัด หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ... ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ตราขึ้นโดยมิใช่กรณีจำเป็นเร่งด่วน ไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และมีข้อความขัด หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ทำให้ร่าง พ.ร.บ.กู้เงินสองล้านล้าน ตกไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ โครงการต่างๆ ตามที่ได้ออกไปโรดโชว์จึงไม่ได้เกิดขึ้นจริง ...งบฯ 240 ล้านที่ใช้ไป สูญเปล่า เป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหาย
ป.ป.ช.จึงมีความมติชี้มูลความผิดทางอาญา ต่อ “ยิ่งลักษณ์-นิวัฒน์ธำรง-สุรนันทน์” ตามมาตรา 151 และมาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือ “พ.ร.บ.ฮั้ว” เช่นเดียวกับ บริษัท มติชน และ บริษัท สยามสปอร์ต ก็มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ของรัฐ ในการกระทำผิด และให้ส่งสำนวน เอกสารหลักฐาน ให้อัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องคดีต่อไป
นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการ “ทุจริตเชิงนโยบาย” ภายใต้ “ระบอบทักษิณ” ที่ลูกน้องต้องเผชิญวิบากกรรมแทนนาย...เพราะ “ยิ่งลักษณ์” เผ่นไปยิ้มเอ๋อที่ต่างประเทศแล้ว !!