ป้อมพระสุเมรุ
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เกมสังหาร “กลุ่มสี่กุมาร” โดยการดีดนิ้วของ “ธานอส” ผู้กุมอำนาจการเมืองตัวจริง ตามบทเสร็จ “นาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” จบลงโดยที่ศึกแย่งชามข้าวของเหล่านักการเมืองในค่ายพลังประชารัฐที่กระสันอยากได้ตำแหน่งยังฝุ่นตลบ จนชาวบ้านชาวช่องสุดเอือมระอา
เมื่อมาสุมใส่ด้วยพิษไวรัสโควิด-19 ที่สร้างความทุกข์เข็ญกันถ้วนหน้า ธุรกิจเจ๊งระนาว คนตกงานนับสิบล้าน คนหนุ่มสาวที่เพิ่งจบจากรั้วมหาวิทยาลัยไม่มีงานทำ เป็นบรรยากาศบ้านเมืองที่สุดอึดอัด อนาคตมืดมน กลายเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ กลุ่ม “เยาวชนปลดแอก” หรือ Free YOUTH ลงถนน เรียกร้องหาอนาคตที่ดี
การขึ้นม็อบของกลุ่มเยาวชนปลดแอก ยกใหม่ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยชุมนุมกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ใจกลางเมืองหลวงกรุงเทพมหานคร เป็นกระแสที่ถูกจับตามองจากทั่วโลก จนไม่น่าเชื่อว่า #เยาวชนปลดแอก จะขึ้นแฮชแท็กยอดนิยม ติดอันดับ 1 ในเทรนด์ทวิตเตอร์โลก โดยมีผู้ทวิตข้อความกว่า 10.8 ล้านทวิต ทำลายสถิติเทรนด์ทวิตเตอร์โลกในช่วงที่ผ่านมาในปีนี้
การชุมนุมที่เกิดขึ้นคราวนี้ แรกเริ่มก็เตรียมลากยาวเป็นม็อบค้างคืนท่ามกลางความวิตกของหลายฝ่ายที่เกรงว่าจะเกิดเหตุแทรกซ้อน แต่ในที่สุดการชุมนุมจึงต้องยุติลงในช่วงกลางดึกเนื่องจากหวั่นเกรงว่าจะมีปัญหาเรื่องความไม่ปลอดภัย อย่างที่นายทัตเทพ เรืองประไพกิจ ประธานกลุ่มเยาวชนปลดแอก บอกผ่านสื่อว่ามีข่าวปล่อยที่ทำให้ผู้ชุมนุมวิตกและสับสน เช่น มีคนของตำรวจขึ้นไปประจำการบนตึกเป็นจุดสูงข่ม มีคนเอาถุงดำมาคลุมกล้องซีซีทีวี มีชายชุดดำคุมตัวเยาวชนผู้ชุมนุมออกไปแต่ดีที่มีผู้ชุมนุมช่วยไว้ได้ ซึ่งเป็นบทเรียนที่จะต้องวางมาตรการเข้มงวดในการชุมนุมครั้งต่อไป
ถึงแม้การแสดงออกทางการเมืองของกลุ่มเยาวชนปลดแอก ได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล 3 ประเด็นหลัก คือ ยุบสภา หยุดคุกคามประชาชน และร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ออกมาบังคับใช้แทนรัฐธรรมนูญปี 2560 แต่หากดูจากป้ายหรือแผ่นกระดาษที่ชูขึ้นเรียกร้องแอบมีบางส่วนที่ก้าวล่วงไปยังสถาบันพระมหากษัตริย์ ขณะที่แกนนำของกลุ่ม Free YOUTH ยืนยันว่าไม่ได้เป็นความเห็นพ้องของผู้จัดการชุมนุมแต่อย่างใด
“ยืนยันว่าเราไม่ได้มีความคิดที่จะจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบัน หรือต้องการล้มเจ้าอย่างที่บางฝ่ายกล่าวหา เจตนารมณ์ของเรามีเพียงข้อเรียกร้อง 3 ข้อที่เรียกร้องต่อรัฐบาลเท่านั้น คือ ยุบสภา หยุดคุกคามประชาชน และร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ออกมาบังคับใช้แทนรัฐธรรมนูญปี 2560” ประธานกลุ่มเยาวชนปลดแอก กล่าว
หลังการขึ้นม็อบที่เมืองหลวงจบลง การชุมนุมได้ขยายวงออกไปเป็นดาวกระจายไปในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน เป็นเรื่องของแต่ละจังหวัดแต่ละสถาบันจัดชุมนุมกันขึ้นมาเอง โดยแกนนำ Free YOUTH เชื่อว่า กระแสม็อบที่ถูกจุดขึ้นตามกันมาเกิดจากความรู้สึกร่วมของนักศึกษาประชาชนที่ทนเห็นความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจ และความไม่เป็นธรรมที่เกิดจากรัฐธรรมนูญ ปี 2560 จึงต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลง
นี่เป็นยุทธศาสตร์การชุมนุมที่นายทัตเทพ เรียกว่า “ออร์แกนิกดาวกระจาย” ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติโดยไม่มีแกนนำ ผู้ขึ้นปราศรัย เปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ ต่างจากการชุมนุมทางการเมืองในยุคที่ผ่านๆ มา ซึ่งถือเป็นจุดแข็งเพราะไม่ว่าจะจับกุมผู้ปราศรัยไปการชุมนุมก็ยังคงอยู่ และการชุมนุมยังคงรูปแบบที่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อตอนต้นปีก่อนที่ไวรัสโควิด-19 จะแพร่ระบาดหนักจนต้องลอคดาวน์ประเทศ
เมื่อสถานการณ์คลี่คลายม็อบก็ผุดขึ้นมาเหมือนยกหินออกหญ้าก็งอกงามขึ้นมาใหม่ และคราวนี้ไม่เพียงกลุ่มนักศึกษาเท่านั้น ประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ก็เข้าร่วมผสมโรง
อย่างการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอกล่าสุด แรงกระพือได้อารมณ์ร่วมม็อบส่วนหนึ่งก็มาจากอาการ “การ์ดตก” ของรัฐบาลเองที่ไม่ได้กักตัวคณะวีไอพี ทำเอาปั่นป่วนกันไปหมด จังหวัดระยอง เมืองพัทยา ชลบุรี ที่เพิ่งฟื้นท่องเที่ยวทรุดหนักคนแห่ยกเลิกทัวร์ เรียกเสียงก่นรัฐบาลกันทั่วบ้านทั่วเมือง ขณะที่รัฐบาลเองยังนิยมใช้วิธีปิดกั้นการแสดงออกของประชาชน ยิ่งทำให้เกิดแรงกดดันเพิ่มขึ้นไปอีก
อย่างที่คาดการณ์กันไว้ล่วงหน้าแล้วว่า เมื่อจบมาตรการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 “เราไม่ทิ้งกัน” ประชาชนที่เดือดร้อนจากการตกงาน เศรษฐกิจไม่ดี จะยิ่งทบเท่าทวีคูณ เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วทั้งโลกยังหนักหนาสาหัส เศรษฐกิจไทยที่พึ่งเศรษฐกิจโลกก็ไปไม่รอด โงหัวไม่ขึ้น
เมื่อทอดตามองคณะผู้บริหารประเทศที่มีพรรคพลังประชารัฐ เป็นแกนนำก็เอาแต่แย่งอำนาจกันโดยไม่สนใจว่าประชาชนจะอยู่กันอย่างไร ยังไม่นับการผสมโรงด้วยข่าวการใช้จ่ายงบประมาณอย่างกองทัพบกซื้อเครื่องบินวีไอพีใหม่ ตามด้วยเสียงเหน็บแหนมจาก "พ.อ.หญิง นุสรา วรภัทราทร" หรือ "ผู้พันเจี๊ยบ” แห่งกองทัพบกที่ว่า “ม็อบมุ้งมิ้ง” โหมเข้าอีกก็เลยยิ่งไปกันใหญ่ และดูเหมือนทุกอย่างจะมะรุมมะตุ้มกันในช่วงจังหวะนี้พอดี
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม นักวิชาการ นักสังเกตการณ์ทางการเมือง ต่างมองปรากฏการณ์แฟล็ชม็อบเยาวชนปลดแอกด้วยความห่วงใยในการแสดงออกอย่างแข็งกร้าวโดยไม่เกรงกลัวอำนาจรัฐ ดังจะเห็นได้จากการชุมนุมปราศรัยที่หน้ากองทัพบกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และเข้าใจสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ที่มีหลายปัจจัยที่เป็นเชื้อไฟให้การชุมนุมขยายวงและยกระดับเข้มข้นขึ้น ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งการเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม หรือการคุกคาม หรือใช้กฎหมายเอาผิดผู้ชุมนุม ซึ่งล้วนแต่เป็นเงื่อนไขที่อ่อนไหว นำไปสู่ความรุนแรง
เมื่อบวกกับแรงเขย่าจากเกมอำนาจทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล ที่กำลังอยู่ระหว่างการต่อรองช่วงชิงเก้าอี้รัฐมนตรีของก๊กต่างๆ หรือพรรคฝ่ายค้าน ที่อยากเห็นการล้างไพ่ ยุบสภา เลือกตั้งใหม่
ไม่แน่ว่าหลังงบประมาณประจำปี 2564 ผ่านกระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นตามไทม์ไลน์ในสิ้นเดือนกันยายน 2563 สมการการเมืองอาจเปลี่ยนจากแรงเขย่าจากม็อบลงถนนและนักการเมืองที่ฟาดฟันกันเองเลือดสาดอยู่ในเวลานี้