แฟลชม็อบลามเชียงใหม่ ไม่สนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน จี้รัฐบาล"ลุงตู่" ลาออกเปิดทางเลือกตั้งใหม่ ด้านเครือกลุ่มประชาชนอีสานเพื่อประชาธิปไตย ออกแถลงการณ์หนุนการชุมนุม "พี่ศรี" จี้ตำรวจเร่งเอาผิดแกนนำม็อบ รวมทั้ง ส.ส.ที่อยู่เบื้องหลัง
วานนี้ (19 ก.ค.63) เวลาประมาณ 17.00 น. ที่บริเวณลานประตูท่าแพ ในตัวเมืองเชียงใหม่ กลุ่มวัยรุ่นที่เป็นนักเรียนนักศึกษา รวมทั้งประชาชนหลายร้อยคน รวมตัวชุมนุมแสดงความไม่พอใจการบริหารประเทศของ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และมีจุดยืนเดียวกับกลุ่มเยาวชนปลดแอก และกลุ่มสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย ที่ได้ชุมนุมกันที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา เพื่อเปิดทางให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ ตลอดจนมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ชุมนุม สวมหน้ากากป้องกันตัว ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ได้พากันชูป้าย พร้อมทั้งร่วมกันเขียนข้อความที่มีเนื้อหาโจมตีรัฐบาล ลงบนแผ่นกระดาษที่จัดเตรียมไว้ ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้มีการจัดวางกำลังเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ ไม่ต่ำกว่า 50 นาย และนอกเครื่องแบบอีกจำนวนหนึ่ง ไว้โดยรอบบริเวณที่ชุมนุม เพื่อควบคุมสถานการณ์ไม่ให้บานปลาย พร้อมทั้งมีการประกาศแจ้งว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยังคงมีผลบังคับใช้ และขอความร่วมมือให้ผู้ร่วมชุมนุม ปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับทางผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การชุมนุมไม่มีเหตุการณ์รุนแรง ก่อนที่จะสลายตัวในช่วงค่ำ
ด้านเครือข่ายประชาชนในนาม กลุ่มประชาชนอีสานเพื่อประชาธิปไตย (คปอป.) ซึ่งเป็น กลุ่มองค์กรประชาชน นักวิชาการ ภาคประชาสังคม ออกแถลงการณ์สนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่จัดชุมนุม ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยระบุใจความว่า การบริหารประเทศของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารงานผิดพลาด บกพร่องปล่อยให้มีการทุจริตเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง และพวกพ้อง โดยไม่มีการดำเนินคดี หรือจัดการกับนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่มีพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายอย่างเห็นได้ชัด เช่น กรณีบุกรุกป่าสงวน และ รมช.แป้งมัน รวมถึงกรณียืมนาฬิกาเพื่อน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจโดยไม่ชอบธรรม มุ่งสืบทอดอำนาจของตนเองโดยไม่สนใจเสียงของประชาชน มีการบังคับใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือจัดการฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง และประชาชนที่เห็นต่าง
ประเด็นสำคัญคือ ความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องของประชาชน ตั้งแต่เริ่มแรกในการเข้ามาบริหารประเทศ จนมาถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยจมดิ่ง กิจการต่างๆ ต้องปิดตัวลง ส่งผลให้คนตกงาน และอดอยากเป็นจำนวนมาก แต่ประชาชนก็ยังอดทนจนสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เป็นศูนย์ มาถึงช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวในระยะสั้นๆ แต่รัฐบาลก็ยังประกาศขยายระยะเวลาในการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯออกไป อันเป็นการจำกัดสิทธิ เสรีภาพ ของประชาชน
กลุ่มประชาชนอีสานเพื่อประชาธิปไตย (คปอป.) ขอประกาศสนับสนุน กลุ่มเยาวชนปลดแอก ดังนี้ 1.เรายืนยันและสนับสนุนการชุมนุมโดยสงบ เคารพในสิทธิและเสรีภาพของประชาชน 2. เราไม่เห็นด้วย กับเจ้าหน้าที่รัฐที่พยายามยั่วยุ ปลุกปั่น กลุ่มผู้ชุมนุมให้เกิดความวุ่นวาย นำไปสู่การใช้อำนาจในการสลายการชุมนุม 3. เราหวังว่าการชุมนุมจะไม่นำไปสู่การใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมโดยรัฐบาล
”พี่ศรี” จี้เอาผิดแกนนำม็อบ
จากกรณีการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอกเพื่อต่อต้านเผด็จการ และสหภาพนิสิตนักศึกษาและนักเรียนแห่งประเทศไทย (สนท.) ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินกลาง เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมมีเรียกร้อง 3 ข้อ คือ 1. ให้นายกรัฐฒนตรีประกาศยุบสภา 2. หยุดคุกคามประชาชน และ 3. ร่างรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อหยุดการสืบทอดอำนาจ โดยให้เวลารัฐบาล 2 สัปดาห์ เพื่อทำตามข้อเรียกร้อง หากไม่มีการตอบรับใดๆ จะยกระดับการชุมนุมต่อไป
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่กลุ่มเยาวชนปลดแอกฯ ได้ปลุกระดม ให้คนออกมาชุมนุมกันในวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมานั้น ถือว่าเป็นการชุมนุมท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยังไม่ยุติ และ อยู่ระหว่างการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ยังห้ามการรวมกลุ่ม หรือการชุมนุมต่างๆ
การจัดชุมนุมดังกล่าวจึงเข้าข่ายความผิดหลายข้อหา อาทิ การฝ่าฝืน ม.9 (2) แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2548 มีอัตราโทษตาม ม.18 จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ, ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายอาญา ม. 215 ฐานมั่วสุมกันเกินกว่าสิบคน หรือก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ถ้าเป็นแกนนำม็อบ หรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิด โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สั่งผู้ที่มั่วสุม ให้เลิกชุมนุมแล้วยังฝ่าฝืน มีความผิดตาม ม.216 โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ ยังมีความผิดตาม ป.อาญา ม. 209 ฐานเป็น อั้งยี่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท ความผิดฐานปิดกั้นถนนตาม ม.114 แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ความผิดฐานใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ขออนุญาต ตาม ม.4 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงอีกด้วย
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ จะต้องเร่งดำเนินการออกหมายเรียก และติดตามจับกุมผู้ที่ต้องสงสัย รวมทั้งแกนนำม็อบทั้งหมดที่จับไมโครโฟนปราศรัย ปลุกระดมมาดำเนินการสอบสวน และทำความเห็นทางคดี ตามข้อบังคับกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยระเบียบการดำเนินคดีอาญา พ.ศ.2523 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 9 และประมวล
การตำรวจเกี่ยวกับคดี ลักษณะ 8 บท ที่ 2 ข้อ 278 นอกจากนั้น ยังต้องออกหมายเรียกแกนนำกลุ่มการเมือง และส.ส.บางคน ที่ให้ท้ายการชุมนุมดังกล่าว ถึงขั้นเตรียมการที่จะใช้ตำแหน่งส.ส.ประกันตัวให้ล่วงหน้า มาดำเนินการสอบสวน และทำความเห็นทางคดี ฐานเป็นตัวการ และผู้สนับสนุน ตาม ป.อาญา ม.83 และ ม.86 เพื่อส่งอัยการฟ้องต่อศาลอาญาต่อไปโดยเร็ว
นายศรีสุวรรณ ระบุว่า การชุมนุมดังกล่าว เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน การสรุปสำนวนการสอบสวน และทำความเห็นทางคดี จะต้องเสนอให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตาม ป.อาญา ม.90 เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อบุคคลอื่นๆ ที่ริอ่านจะจัดการชุมนุม หรือเป็นแกนนำการชุมนุมโดยฝ่าฝืนกฎหมาย อันเป็นการสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในสังคม และสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนต่อไป
เรียกร้องปชต.หรือต่อต้านสถาบันฯ
นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรอง ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก “Nantiwat Samart”ถึงการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก ว่าจุดประสงค์เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย หรือจะต่อต้านสถาบันฯ โดยระบุข้อความว่า
"ต้องไม่ใช่ชุมนุมต่อต้านสถาบันฯ การชุมนุมของเยาวชนปลดแอก ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวานนี้ คนชุมนุมไม่ถึงกับหรอมแหรม แต่ไม่มากอยากที่แกนนำตั้งใจ นี่ไม่ใช่การชุมนุมทางการเมืองครั้งแรกของกลุ่มนี้ แต่มันจุดไม่ติด คนที่ร่วมมีแต่หน้าแก่ๆ คุ้นหน้าเป็นแขกประจำรายการ จะเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้ยุบสภา ก็ว่าไป
ประเด็นสำคัญที่ต้องถาม คือ ตกลงเป็นการชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย หรือจะต่อต้านสถาบันฯ ทำไมปล่อยให้ผู้มาร่วมชุมนุม ถือป้ายต่อต้านสถาบันฯชัดเจนหลายคน หากไม่รู้เห็นเป็นใจ ไม่ใช่การชุมนุมต่อต้านสถาบันฯ การ์ดของกลุ่มผู้ชุมนุม ต้องห้ามปราม ห้ามถือป้ายต่อต้านสถาบันฯ หรือกันออกจากพื้นที่ชุมนุม ไม่ต้องพูดถึงการแจกพิซซ่า 112 กล่อง จะมีนัยอะไร ความชอบธรรมในการชุมนุมหมดสิ้นทันที ที่มีการต่อต้านสถาบันฯ ในพื้นที่ชุมนุม"
ตร.ยังไม่ออกหมายจับแกนนำม็อบ
พ.ต.อ.อิทธิพล พงษ์ธร ผกก.สน.สำราญราษฎร์ กล่าวถึงการชุมนุมครั้งนี้ว่า การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ เน้นดูแลความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ชุมนุม โดยการปฏิบัติใช้วิธีละมุนละม่อม เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่ง แต่ยอมรับว่ามีการยื้อยุดฉุดกระชากกันบ้าง ซึ่งก็ไม่พบว่าใครได้รับบาดเจ็บ
ขณะนี้ ยังไม่มีการออกหมายเรียก หรือหมายจับใคร ตำรวจไม่ได้มีการจับกุมใครมาดำเนินคดี และไม่ได้คุกคามกลุ่มผู้ชุมนุมแต่อย่างใด โดยยอมรับว่ากลุ่มผู้ชุมนุม ไม่ได้ขออนุญาตชุมนุม ส่วนจะมีความผิดฐานชุมนุมในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือไม่นั้น ต้องมีการประชุมหารือกับสถานีตำรวจที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากพื้นที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นพื้นที่รอยต่อ 3 สถานีตำรวจ คือ สน.สำราญราษฎร์ สน.นางเลิ้ง และ สน.ชนะสงคราม ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจนั้น อยู่ภายใต้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
พ.ต.อ.อิทธิพล ยังกล่าวถึงกรณีกลุ่มผู้ชุมนุมอ้างว่า มีกลุ่มมือที่ 3 ชายชุดดำเข้ามาป่วน ข่มขู่ คุกคาม และอาจจะมีความไม่ปลอดภัย ทำให้ต้องยุติการชุมนุมนั้น ขอยืนยันว่าไม่มีกรณีดังกล่าว ส่วนที่มีการกล่าวอ้างว่ามีชายชุดดำปรากฏอยู่ตามจุดต่างๆ นั้น ตนยังไม่ได้รับรายงานเรื่องนี้แต่อย่างใด
”ช่อ”ชมเป็นความสวยงามของปชต.
ด้านน.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ทวีตข้อความลงบนทวิตเตอร์ ถึงกรณีกลุ่มสหภาพนักเรียนนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) และกลุ่มเยาวชนปลดแอก - Free YOUTHจัดชุมนุมขับไล่รัฐบาล ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา ว่า "สิ่งหนึ่งที่ชอบมากในการชุมนุมเมื่อคืนนี้ คือ แต่ละคนมีวาระเป็นของตัวเอง เห็นทั้งป้ายรณรงค์ #สมรสเท่าเทียม #saveวันเฉลิม และกรณีอุ้มหายอื่นๆ เรื่องรัฐสวัสดิการ ทำป้ายกันมาเอง แจกกันเอง หรือเขียนสดๆ ตรงนั้น นี่คือความสวยงามของประชาธิปไตย # เยาวชนปลดแอก"
วานนี้ (19 ก.ค.63) เวลาประมาณ 17.00 น. ที่บริเวณลานประตูท่าแพ ในตัวเมืองเชียงใหม่ กลุ่มวัยรุ่นที่เป็นนักเรียนนักศึกษา รวมทั้งประชาชนหลายร้อยคน รวมตัวชุมนุมแสดงความไม่พอใจการบริหารประเทศของ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และมีจุดยืนเดียวกับกลุ่มเยาวชนปลดแอก และกลุ่มสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย ที่ได้ชุมนุมกันที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา เพื่อเปิดทางให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ ตลอดจนมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ชุมนุม สวมหน้ากากป้องกันตัว ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ได้พากันชูป้าย พร้อมทั้งร่วมกันเขียนข้อความที่มีเนื้อหาโจมตีรัฐบาล ลงบนแผ่นกระดาษที่จัดเตรียมไว้ ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้มีการจัดวางกำลังเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ ไม่ต่ำกว่า 50 นาย และนอกเครื่องแบบอีกจำนวนหนึ่ง ไว้โดยรอบบริเวณที่ชุมนุม เพื่อควบคุมสถานการณ์ไม่ให้บานปลาย พร้อมทั้งมีการประกาศแจ้งว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยังคงมีผลบังคับใช้ และขอความร่วมมือให้ผู้ร่วมชุมนุม ปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับทางผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การชุมนุมไม่มีเหตุการณ์รุนแรง ก่อนที่จะสลายตัวในช่วงค่ำ
ด้านเครือข่ายประชาชนในนาม กลุ่มประชาชนอีสานเพื่อประชาธิปไตย (คปอป.) ซึ่งเป็น กลุ่มองค์กรประชาชน นักวิชาการ ภาคประชาสังคม ออกแถลงการณ์สนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่จัดชุมนุม ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยระบุใจความว่า การบริหารประเทศของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารงานผิดพลาด บกพร่องปล่อยให้มีการทุจริตเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง และพวกพ้อง โดยไม่มีการดำเนินคดี หรือจัดการกับนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่มีพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายอย่างเห็นได้ชัด เช่น กรณีบุกรุกป่าสงวน และ รมช.แป้งมัน รวมถึงกรณียืมนาฬิกาเพื่อน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจโดยไม่ชอบธรรม มุ่งสืบทอดอำนาจของตนเองโดยไม่สนใจเสียงของประชาชน มีการบังคับใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือจัดการฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง และประชาชนที่เห็นต่าง
ประเด็นสำคัญคือ ความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องของประชาชน ตั้งแต่เริ่มแรกในการเข้ามาบริหารประเทศ จนมาถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยจมดิ่ง กิจการต่างๆ ต้องปิดตัวลง ส่งผลให้คนตกงาน และอดอยากเป็นจำนวนมาก แต่ประชาชนก็ยังอดทนจนสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เป็นศูนย์ มาถึงช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวในระยะสั้นๆ แต่รัฐบาลก็ยังประกาศขยายระยะเวลาในการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯออกไป อันเป็นการจำกัดสิทธิ เสรีภาพ ของประชาชน
กลุ่มประชาชนอีสานเพื่อประชาธิปไตย (คปอป.) ขอประกาศสนับสนุน กลุ่มเยาวชนปลดแอก ดังนี้ 1.เรายืนยันและสนับสนุนการชุมนุมโดยสงบ เคารพในสิทธิและเสรีภาพของประชาชน 2. เราไม่เห็นด้วย กับเจ้าหน้าที่รัฐที่พยายามยั่วยุ ปลุกปั่น กลุ่มผู้ชุมนุมให้เกิดความวุ่นวาย นำไปสู่การใช้อำนาจในการสลายการชุมนุม 3. เราหวังว่าการชุมนุมจะไม่นำไปสู่การใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมโดยรัฐบาล
”พี่ศรี” จี้เอาผิดแกนนำม็อบ
จากกรณีการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอกเพื่อต่อต้านเผด็จการ และสหภาพนิสิตนักศึกษาและนักเรียนแห่งประเทศไทย (สนท.) ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินกลาง เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมมีเรียกร้อง 3 ข้อ คือ 1. ให้นายกรัฐฒนตรีประกาศยุบสภา 2. หยุดคุกคามประชาชน และ 3. ร่างรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อหยุดการสืบทอดอำนาจ โดยให้เวลารัฐบาล 2 สัปดาห์ เพื่อทำตามข้อเรียกร้อง หากไม่มีการตอบรับใดๆ จะยกระดับการชุมนุมต่อไป
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่กลุ่มเยาวชนปลดแอกฯ ได้ปลุกระดม ให้คนออกมาชุมนุมกันในวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมานั้น ถือว่าเป็นการชุมนุมท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยังไม่ยุติ และ อยู่ระหว่างการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ยังห้ามการรวมกลุ่ม หรือการชุมนุมต่างๆ
การจัดชุมนุมดังกล่าวจึงเข้าข่ายความผิดหลายข้อหา อาทิ การฝ่าฝืน ม.9 (2) แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2548 มีอัตราโทษตาม ม.18 จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ, ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายอาญา ม. 215 ฐานมั่วสุมกันเกินกว่าสิบคน หรือก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ถ้าเป็นแกนนำม็อบ หรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิด โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สั่งผู้ที่มั่วสุม ให้เลิกชุมนุมแล้วยังฝ่าฝืน มีความผิดตาม ม.216 โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ ยังมีความผิดตาม ป.อาญา ม. 209 ฐานเป็น อั้งยี่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท ความผิดฐานปิดกั้นถนนตาม ม.114 แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ความผิดฐานใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ขออนุญาต ตาม ม.4 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงอีกด้วย
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ จะต้องเร่งดำเนินการออกหมายเรียก และติดตามจับกุมผู้ที่ต้องสงสัย รวมทั้งแกนนำม็อบทั้งหมดที่จับไมโครโฟนปราศรัย ปลุกระดมมาดำเนินการสอบสวน และทำความเห็นทางคดี ตามข้อบังคับกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยระเบียบการดำเนินคดีอาญา พ.ศ.2523 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 9 และประมวล
การตำรวจเกี่ยวกับคดี ลักษณะ 8 บท ที่ 2 ข้อ 278 นอกจากนั้น ยังต้องออกหมายเรียกแกนนำกลุ่มการเมือง และส.ส.บางคน ที่ให้ท้ายการชุมนุมดังกล่าว ถึงขั้นเตรียมการที่จะใช้ตำแหน่งส.ส.ประกันตัวให้ล่วงหน้า มาดำเนินการสอบสวน และทำความเห็นทางคดี ฐานเป็นตัวการ และผู้สนับสนุน ตาม ป.อาญา ม.83 และ ม.86 เพื่อส่งอัยการฟ้องต่อศาลอาญาต่อไปโดยเร็ว
นายศรีสุวรรณ ระบุว่า การชุมนุมดังกล่าว เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน การสรุปสำนวนการสอบสวน และทำความเห็นทางคดี จะต้องเสนอให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตาม ป.อาญา ม.90 เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อบุคคลอื่นๆ ที่ริอ่านจะจัดการชุมนุม หรือเป็นแกนนำการชุมนุมโดยฝ่าฝืนกฎหมาย อันเป็นการสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในสังคม และสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนต่อไป
เรียกร้องปชต.หรือต่อต้านสถาบันฯ
นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรอง ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก “Nantiwat Samart”ถึงการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก ว่าจุดประสงค์เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย หรือจะต่อต้านสถาบันฯ โดยระบุข้อความว่า
"ต้องไม่ใช่ชุมนุมต่อต้านสถาบันฯ การชุมนุมของเยาวชนปลดแอก ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวานนี้ คนชุมนุมไม่ถึงกับหรอมแหรม แต่ไม่มากอยากที่แกนนำตั้งใจ นี่ไม่ใช่การชุมนุมทางการเมืองครั้งแรกของกลุ่มนี้ แต่มันจุดไม่ติด คนที่ร่วมมีแต่หน้าแก่ๆ คุ้นหน้าเป็นแขกประจำรายการ จะเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้ยุบสภา ก็ว่าไป
ประเด็นสำคัญที่ต้องถาม คือ ตกลงเป็นการชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย หรือจะต่อต้านสถาบันฯ ทำไมปล่อยให้ผู้มาร่วมชุมนุม ถือป้ายต่อต้านสถาบันฯชัดเจนหลายคน หากไม่รู้เห็นเป็นใจ ไม่ใช่การชุมนุมต่อต้านสถาบันฯ การ์ดของกลุ่มผู้ชุมนุม ต้องห้ามปราม ห้ามถือป้ายต่อต้านสถาบันฯ หรือกันออกจากพื้นที่ชุมนุม ไม่ต้องพูดถึงการแจกพิซซ่า 112 กล่อง จะมีนัยอะไร ความชอบธรรมในการชุมนุมหมดสิ้นทันที ที่มีการต่อต้านสถาบันฯ ในพื้นที่ชุมนุม"
ตร.ยังไม่ออกหมายจับแกนนำม็อบ
พ.ต.อ.อิทธิพล พงษ์ธร ผกก.สน.สำราญราษฎร์ กล่าวถึงการชุมนุมครั้งนี้ว่า การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ เน้นดูแลความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ชุมนุม โดยการปฏิบัติใช้วิธีละมุนละม่อม เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่ง แต่ยอมรับว่ามีการยื้อยุดฉุดกระชากกันบ้าง ซึ่งก็ไม่พบว่าใครได้รับบาดเจ็บ
ขณะนี้ ยังไม่มีการออกหมายเรียก หรือหมายจับใคร ตำรวจไม่ได้มีการจับกุมใครมาดำเนินคดี และไม่ได้คุกคามกลุ่มผู้ชุมนุมแต่อย่างใด โดยยอมรับว่ากลุ่มผู้ชุมนุม ไม่ได้ขออนุญาตชุมนุม ส่วนจะมีความผิดฐานชุมนุมในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือไม่นั้น ต้องมีการประชุมหารือกับสถานีตำรวจที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากพื้นที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นพื้นที่รอยต่อ 3 สถานีตำรวจ คือ สน.สำราญราษฎร์ สน.นางเลิ้ง และ สน.ชนะสงคราม ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจนั้น อยู่ภายใต้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
พ.ต.อ.อิทธิพล ยังกล่าวถึงกรณีกลุ่มผู้ชุมนุมอ้างว่า มีกลุ่มมือที่ 3 ชายชุดดำเข้ามาป่วน ข่มขู่ คุกคาม และอาจจะมีความไม่ปลอดภัย ทำให้ต้องยุติการชุมนุมนั้น ขอยืนยันว่าไม่มีกรณีดังกล่าว ส่วนที่มีการกล่าวอ้างว่ามีชายชุดดำปรากฏอยู่ตามจุดต่างๆ นั้น ตนยังไม่ได้รับรายงานเรื่องนี้แต่อย่างใด
”ช่อ”ชมเป็นความสวยงามของปชต.
ด้านน.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ทวีตข้อความลงบนทวิตเตอร์ ถึงกรณีกลุ่มสหภาพนักเรียนนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) และกลุ่มเยาวชนปลดแอก - Free YOUTHจัดชุมนุมขับไล่รัฐบาล ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา ว่า "สิ่งหนึ่งที่ชอบมากในการชุมนุมเมื่อคืนนี้ คือ แต่ละคนมีวาระเป็นของตัวเอง เห็นทั้งป้ายรณรงค์ #สมรสเท่าเทียม #saveวันเฉลิม และกรณีอุ้มหายอื่นๆ เรื่องรัฐสวัสดิการ ทำป้ายกันมาเอง แจกกันเอง หรือเขียนสดๆ ตรงนั้น นี่คือความสวยงามของประชาธิปไตย # เยาวชนปลดแอก"