“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
เรื่อง “คาดไม่ถึง” ในไทยแลนด์แดนสยาม มีทั้ง “ดี” และ “เลว”!
ก่อนเรื่อง “เลว” จะอุบัติในครั้งนี้ “ใครหลายคน” รวมทั้ง “จารย์โต้ง” โทรศัพท์บอกข่าวด้วยความเป็นห่วงว่า
“บิ๊กสุส่งทหารออกมาปราบประชาชนแล้วนะ”
เรื่องเลว-เกิดขึ้นในวันที่ 17 พฤษภาคม 2553 โดยรัฐบาล “นายกฯบิ๊กสุ” ได้สั่งการให้ทหารปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนอย่างโหดร้าย แต่ผู้คนที่รักชาติรักประชาธิปไตย ซึ่งมีเพียงสองมือเปล่ามิได้ขลาดกลัว ทุกคนยังยืนหยัดต่อสู้โดยไม่กลัวเจ็บกลัวตาย เหตุการณ์ดำเนินต่อเนื่องนานถึง 4 วัน 4 คืน จนสื่อฯ ขนานนามให้เป็นเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ”!
ส่งผลให้สื่อฯไทยกับทั่วโลกเชื่อว่า เหตุการณ์ในชาติไทยครั้งนี้ จะต้องบานปลายเป็น“สงครามกลางเมือง” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน..
ทว่า “พายุร้าย” ที่โหมกระพือ พลันสงบลงอย่างเหลือเชื่อราว “พลิกฝ่ามือ” เมื่อ..
เรื่องดี-เกิดขึ้นในวันที่ 20 พฤษภาคม 2535 เมื่อ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ทรงรับสั่งให้ “พล.อ.สุจินดา คราประยูร” และ “พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” เข้าเฝ้า มีพระราชดำรัสพระราชทานแก่ “สองนายพล” ข้อความบางส่วนดังนี้..
“คงเป็นที่แปลกใจ ทำไมถึงเชิญให้ท่านมาพบกันนี้ เพราะทุกคนก็ทราบว่า เหตุการณ์มีความยุ่งเหยิงอย่างไร และทำให้ประเทศล่มจมได้ แต่ที่จะแปลกใจก็อาจมีว่า ทำไมเชิญพลเอกสุจินดา คราประยูร และพลตรีจำลอง ศรีเมือง เพราะว่า อาจมีผู้ที่แสดงเป็นตัวละครมากกว่านี้ แต่ว่าที่เชิญมาเพราะว่า ตั้งแต่แรกที่มีเหตุการณ์ สองท่านเป็นผู้ที่เผชิญหน้ากัน แล้วก็ในที่สุด เป็นการต่อสู้ หรือการเผชิญหน้ากว้างขวางขึ้น ถึงได้เชิญสองท่านมา
การเผชิญหน้าตอนแรก ก็เห็นจุดประสงค์ของทั้งสองฝ่ายได้ชัดเจนพอสมควร แต่ต่อมาภายหลังสิบ กว่าวัน ก็เห็นแล้วว่า การเผชิญหน้านั้นเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างมาก จนกระทั่งออกมาอย่างไรก็ตาม เสียทั้งนั้น เพราะว่า ทำให้มีความเสียหาย ในทางชีวิต เลือดเนื้อของคนจำนวนมากพอสมควร แล้วก็ความเสียหายทางวัตถุ ซึ่งเป็นของส่วนราชการและส่วนบุคคล เป็นมูลค่ามากมาย นอกจากนี้ก็มีความเสียหายในทางจิตใจ และในทางเศรษฐกิจของประเทศชาติ อย่างที่จะนับพรรณนาไม่ได้ ฉะนั้นการที่จะเป็นไปอย่างนี้ต่อไป จะเป็นเหตุผลหรือต้นตออย่างไรก็ช่าง เพราะเดี๋ยวนี้เหตุผลเปลี่ยนไป ถ้าหากว่าเผชิญหน้ากันแบบนี้ต่อไป เมืองไทยมีแต่ล่มจมลงไป แล้วก็ทำให้ประเทศไทย ที่เราสร้างเสริมขึ้นมาอย่างดีเป็นเวลานาน จะกลายเป็นประเทศที่ไม่มีความหมาย หรือมีความหมายในทางลบเป็นอย่างมาก ซึ่งก็เริ่มปรากฏผลแล้ว ฉะนั้นจะต้องแก้ไข โดยดูว่ามีข้อขัดแย้งอย่างไร แล้วก็พยายามจะแก้ไขตามลำดับ เพราะว่าปัญหาที่มีอยู่ทุกวันนี้ สองสามวันนี้มันเปลี่ยนไป ปัญหาไม่ใช่เรื่องของเรียกว่าการเมือง หรือเรียกว่าของการดำรงตำแหน่ง เป็นปัญหาของการสึกหรอของประเทศชาติ ฉะนั้นจะต้องช่วยกันแก้ไข
มีผู้ที่ส่งข้อแนะนำ ในการแก้ไขสถานการณ์มาหลายฉบับ หลายคน จำนวนเป็นร้อย แล้วก็ทั้งในเมืองไทย ทั้งต่างประเทศที่ส่งมา ที่เขาส่งการแก้ไขมา หรือข้อแนะนำว่า เราควรจะทำอะไรก็มี ก็มีต่างๆนานา ตั้งแต่ตอนแรกบอกว่าแก้ไขวิธียุบสภา ซึ่งก็ได้หารือกับทางทุกฝ่ายที่เป็นสภา หมายความว่า พรรคการเมืองทั้งหมด 11 พรรคนี้ คำตอบมีว่าไม่ควรยุบสภา มีหนึ่งรายที่บอกว่าควรยุบสภา
ฉะนั้นการที่จะแก้ไขแบบที่เขาเสนอมานั้น ก็เป็นอันว่าตกไป นอกจากนั้นก็มีเป็นฎีกา และแนะนำวิธีต่างๆ กัน ซึ่งได้พยายามเสนอไปตามปกติ คือเวลามีฎีกาขึ้นมา ก็ส่งไปให้ทางสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี หรือสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขตามแบบนั้น ตกลงมีแบบยุบสภา และมีอีกแบบหนึ่ง ก็เป็นแบบแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ได้ตามประสงค์ที่ต้องการ หมายความว่าประสงค์เดิม ที่เกิดเผชิญหน้ากัน....
ปัญหาของวันนี้ ไม่ใช่ปัญหาของการบัญญัติ หรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทุกวันนี้คือความปลอดภัย ขวัญดีของประชาชน ซึ่งเดี๋ยวนี้ประชาชนทั่วไปทุกแห่งทุกหน มีความหวาดระแวงว่าจะเกิดอันตราย มีความหวาดระแวงว่า ประเทศจะล่มจม โดยที่จะแก้ไขลำบาก ตามข่าวที่ได้ทราบมาจากต่างประเทศ เพราะเหตุว่าในขณะนี้ ทั้งลูกชายทั้งลูกสาวก็อยู่ต่างประเทศ ทั้งสองก็ทราบดี แล้วก็ได้พยายามที่จะแจ้ง ให้กับคนที่อยู่ในประเทศเหล่านั้นว่า
ประเทศไทยนี้ยังแก้ไขสถานการณ์ได้ แต่รู้สึกว่าจะเป็นความคิด ที่เป็นความคิดแบบหวังสูงไปหน่อย ถ้าหากว่าเราไม่ทำให้สถานการณ์อย่างสามวันที่ผ่านมาสิ้นสุดไปได้ ฉะนั้นก็ขอให้โดยเฉพาะสองท่าน คือ พลเอกสุจินดา และพลตรีจำลอง ช่วยกันคิด คือหันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน เพราะว่าเป็นประเทศของเรา ไม่ใช่เป็นประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน เข้าหากันไม่เผชิญหน้ากันแก้ไขปัญหา เพราะปัญหามีอยู่ ที่เวลาเกิดจะใช้คำว่า บ้าเลือด เวลาคนมีการปฏิบัติรุนแรงมันลืมตัว ลงท้ายเขาไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร
เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทาง อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ถ้าสมมติว่า เฉพาะในกรุงเทพมหานครเสียหายไป ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วก็จะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองซากปรักหักพัง
ฉะนั้นจึงขอให้ทั้งสองท่านเข้ามา คือไม่เผชิญหน้ากัน แต่หันเข้าหากัน และสองท่าน เท่ากับเป็นผู้แทนฝ่ายต่างๆ คือไม่ใช่สองฝ่าย ฝ่ายต่างๆ ที่เผชิญหน้ากัน ให้ช่วยกันแก้ปัญหาปัจจุบันนี้ คือความรุนแรงที่เกิดขึ้น แล้วก็เมื่อเยียวยาปัญหานี้ได้แล้ว จะมาพูดกัน ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร สำหรับให้ประเทศไทยได้มีการสร้างพัฒนาขึ้นมาได้ กลับคืนมาได้ด้วยดี อันนี้ก็เป็นเหตุผลที่เรียกท่านทั้งสองมา และก็เชื่อว่าทั้งสองท่านก็เข้าใจว่า จะเป็นผู้ที่ได้สร้างประเทศจากซากปรักหักพัง แล้วก็จะได้ผลในส่วนตัวมาก ว่าได้ทำดี แก้ไขอย่างไรก็แล้วแต่ที่จะปรึกษากัน ก็มีข้อสังเกตดังนี้
ท่านประธานองคมนตรี ท่านองคมนตรีเปรม ก็เป็นผู้ใหญ่ ผู้พร้อมที่จะให้คำปรึกษาหารือกัน ด้วยความเป็นกลาง ด้วยความรักชาติ เพื่อสร้างสรรค์ประเทศ ให้เข้าสู่ความปลอดภัยในเร็ววัน ขอฝากให้ช่วยกันสร้างชาติ”
หลังจากนั้น..รัฐบาลเผด็จการ “บิ๊กสุ” ที่กองทัพหนุนหลัง ได้ปล่อย “ลุงจำลอง” กับพวกออกจากที่คุมขัง!
ท่ามกลางความดีใจของคนไทยทั้งชาติ ผสานกับความเสียใจที่มีผู้คนบาดเจ็บกว่าพันคนและล้มตายเกือบครึ่งร้อย ในเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” โดย “วีรชนผู้กล้าหาญแห่งเดือนพฤษภาคม” ทุกคน ได้ถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยชาติไทยว่า
ผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทั้งหมด “บาดเจ็บล้มตาย” จากการปราบปรามอย่างรุนแรง ในยุคของรัฐบาลเผด็จการ “พลเอกสุจินดา คราประยูร”!
แม้การปราบปรามประชาชนจะยุติลงแล้ว ทว่าสถานการณ์ยังคงคุกรุ่น ด้วย “บิ๊กสุ” ยังคาอยู่ในตำแหน่ง“นายกรัฐมนตรี” สื่อฯจึงยังตามข่าวกันชนิด “กัดไม่ปล่อย” โดยเฉพาะนักข่าวต่างประเทศ ที่ไม่เชื่อว่า มีการ “เข่นฆ่ากันถึงขนาดนี้” จะจบลงง่ายๆ - เป็นไปไม่ได้!
อย่างไรก็ตาม “ผู้ใหญ่หลายคน”รวมทั้ง“จารย์โต้ง” ได้โทรศัพท์ส่งข่าวบอกตรงกันว่า “เรื่องเลวร้ายนี้กำลังจะจบลงแล้วนะ”
วันที่ 24 พฤษภาคม 2553 “พล.อ.สุจินดา คราประยูร” ได้ลาออกจากตำแหน่ง“นายกรัฐมนตรี”!
เหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” จึงสงบจบลง ด้วยพระบารมี “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ผู้ทรงเป็นที่รักเทิดทูน ทรงใช้พระมหากรุณาธิคุณ ระงับเหตุการณ์ “รัฐบาลเผด็จการฆ่าประชาชนไทย” ลงอีกครา..ดุจดังเหตุการณ์ “14 ตุลาคม 2516”..
ปวงชนชาวไทยยังคงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ “ในหลวงรัชกาลที่ 9”.. ธ สถิตย์ในดวงใจนิรันดร์..
..โปรดติดตามอ่านต่อฉบับหน้า..