“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
เมื่อ “คณะรัฐประหาร รสช.” มิได้ทำเพื่อชาติและประชาชนเป็นหลัก แต่กลับมีพฤติกรรมใช้อำนาจทำเพื่อตนเองและพวกพ้องเป็นสรณะ “ชะตาย่อมขาด” อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้..
“เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ” นั้น นอกจาก “สนธิ ลิ้มทองกุล” ให้เงินผมกับพี่อ๋า 2 ล้านบาทแล้ว ผมได้ทราบภายหลังว่า “พี่สนธิ” ยังให้เงินเกือบ 10 ล้านบาท กับ “คน ” ในกลุ่ม “ลุงจำลอง-พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” ที่กำลังต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการ “รสช.” นำโดย “บิ๊กสุ-พล.อ.สุจินดา คราประยูร” อีกด้วย
ทางด้าน “ทักษิณ ชินวัตร” ก็มี “อ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย” กับนักเคลื่อนไหวใน “เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516” หลายคน ออกมาร่วมขับไล่ “บิ๊กสุ” โดยทุกฝ่ายชูประเด็นโจมตี “บิ๊กสุ” ตรงกัน นั่นคือ
หนึ่ง-“บิ๊กสุ” ประกาศ “จะไม่เล่นการเมืองเด็ดขาด” แต่ “บิ๊กสุ”กลับทำผิดคำพูดดื้อๆ เพราะดันไปรับตำแหน่งเป็น “นายกฯ” “บิ๊กสุ” จึงเป็น “คนตระบัดสัตย์” ไปทันที และชาติกับประชาชนก็ไม่ต้องการ“นายกฯ ตระบัดสัตย์”!
สอง-ห้วงนั้นเกิดกระแส “นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง” แต่ “รสช.” กลับไปตั้งพรรคการเมือง แล้วใช้การเลือกตั้งสกปรกเอาเปรียบคู่แข่ง จนได้เป็นพรรคแกนนำในการตั้งรัฐบาล ทว่าการรวบรวมเสียง สส.ข้างมากในสภาฯ เพื่อตั้งรัฐบาลในครั้งนั้น มีข่าวลึกแต่ไม่ลับโดย “อดีตหัวหน้าพรรคบางคน” ได้เล่าในภายหลังว่า “ผมไม่ลงชื่อเข้าร่วมรัฐบาลได้ไงล่ะ” เพราะมี “ปืนจี้หัว” ให้เข้าร่วมตั้ง “รัฐบาล รสช.”
ส.ส.จึง “ยกมือราวฝักถั่ว” ให้ “พล.อ.สุจินดา คราประยูร” ขึ้นเป็น “นายกรัฐมนตรีตระบัดสัตย์” ด้วยเสียงข้างมากในสภาฯ ทั้งๆ ที่ “บิ๊กสุ”ไม่ได้เป็น “ส.ส.” จังหวัดใดเลย!
การเคลื่อนไหวของทุกฝ่ายในครั้งนั้น จึงพุ่งประเด็นตรงไปที่ “บิ๊กสุ” เป็น “นายกฯ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง” แถมยังเป็น “นายกฯ ตระบัดสัตย์ ”อีกด้วย.. โอ้โฮ!..เรื่องชักบานปลายยุ่งขิงแล้ว!..
การชุมนุมของประชาชน ภายใต้การนำของ “ลุงจำลอง” เริ่มต้นขึ้นบนความชอบธรรมทางการเมือง ขณะที่ “บิ๊กสุ” กับพวกพ้องในกองทัพ ดูแคลนพลังประชาชน เชื่อมั่นในกำลังอาวุธของกองทัพ ว่าจะปราบปรามประชาชนลงได้ จึงไม่แยแสต่อความไร้ความชอบธรรม ดังเช่น
ประเด็น-“คณะ รสช.” รัฐประหารแล้วไม่ทำเพื่อชาติและประชาชน แต่กลับใช้อำนาจทำเพื่อตนเองกับพวกพ้อง แถมผลงานแก้ต้นเหตุปัญหาชาติก็ไม่ปรากฏ มีแต่ผลงานแสวงหาและกอบโกยผลประโยชน์ชาติ ปรากฏขึ้นราวดอกเห็ดฤดูฝน!
ประเด็น- “คณะ รสช.” รัฐประหารแล้วไม่แก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ ให้กับชาติและประชาชนเป็นหลัก แต่กลับมีการเล่นพรรคเล่นพวก ใน“กลุ่ม รสช.” อย่างน่าเกลียดมาโดยตลอด จนสร้างความไม่พอใจอย่างกว้างขวาง ให้กับนักธุรกิจระดับกลาง-ผู้มีรายได้น้อย-คนยากจน ฯลฯ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในชาติ
ประเด็น- “คณะรสช.” สืบทอดอำนาจ โดยให้ “บิ๊กสุ” ที่ตระบัดสัตย์ ขึ้นเป็น “นายกฯ” ทั้งๆที่ ไม่ได้เป็น “ส.ส.” ดังนั้น “บิ๊กสุ” จึงเป็น “นายกฯ ตระบัดสัตย์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง” อีกด้วย
แค่ 3 ประเด็นหลักที่ไร้ความชอบธรรมนี้ “คอการเมืองทั้งหลาย” ก็ทำนายล่วงหน้าได้เลยว่า “รสช.” กลายเป็นตัวการ ที่ส่งเสริมให้การชุมนุมภายใต้การนำของ “ลุงจำลอง” ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ให้เติบใหญ่อย่างรวดเร็ว จนถูกเรียกขานในยุคนั้นว่า เป็น “ม็อบโทรศัพท์มือถือ” ไปเลย..
เมื่อมีข่าวว่า รัฐบาล “บิ๊กสุ” จะสั่งจับ “พล.ต.จำลอง” กับบรรดาแกนนำ นักเคลื่อนไหวทุกฝ่ายจึงร่วมประชุมกัน เพื่อเตรียมสานงานต่อ หาก “คณะลุงจำลอง” ถูกจับ..
โดย “พี่อ๋า-พีรพล-ผม” และเพื่อนๆ อีกหลายคน ได้เช่าโรงแรม “มาเจสติก” บนถนนราชดำเนิน ซึ่งอยู่ใกล้สะพานผ่านฟ้าฯ เพื่อเกาะติดการเคลื่อนกำลังผู้ชุมนุม จนได้เห็นภาพเหตุการณ์ ณ จุดนั้นเต็มตา..
คืนนั้น..ทหารพร้อมอาวุธสงคราม ยืนเรียงรายประจันหน้ากับรถนำขบวนผู้ชุมนุม ที่ “ลุงจำลอง” กับแกนนำ ยืนปราศรัยอยู่บนหลังคารถสองแถวขนาดใหญ่
ท่ามกลางเสียงปราศรัยของแกนนำ..เสียงปืนสงครามของทหารก็เปิดฉากระดมยิงเข้าใส่ “คณะลุงจำลอง” กับพวกที่อยู่บนหลังคารถ อย่างสนั่นหวั่นไหว.. เสียงปืนดังเป็นระลอกๆ
ผมเห็น “ลุงจำลอง” กับพวกพ้อง ผลุบโผล่อยู่บนหลังคารถครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ปากก็ยังตะโกนผ่านเครื่องเสียงซ้ำๆ ซากๆ ขอร้องและให้ทหารยุติการยิง เพราะ “ลุงจำลอง” ห่วงว่ากระสุนปืนของทหาร จะยิงไปถูกประชาชนผู้รักชาติ ที่มีเพียงสองมือเปล่า..
พอรุ่งสาง “ลุงจำลอง” ตัดสินใจมอบตัว ยอมให้ “ทหารจับ” เพื่อมิให้ทหารยิงประชาชนที่ชุมนุมด้วยสองมือเปล่า จากนั้นแกนนำการชุมนุมอีกหลายคน มอบตัวบ้าง ถูกตามจับบ้าง ทว่า..การปราบปรามผู้ชุมนุมด้วยความรุนแรงของทหาร ยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง..
แต่การใช้อาวุธสงคราม ปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนในครั้งนั้น มิได้ทำให้สถานการณ์สงบจบลง เพราะการต่อต้านรัฐบาล “บิ๊กสุ” ของประชาชน กลับขยายตัวกระจายไปทั่วกรุงเทพฯ เป็น “ไฟลามทุ่ง” ไปแล้ว!
รัฐบาล “บิ๊กสุ” ที่ “หมอดู” กับ “โหร” ทั้งหลาย ล้วนพยากรณ์ว่าจะอยู่นานนับ 10 ปีแน่นอน เพราะ“นายกฯ บิ๊กสุ” มีญาติและเพื่อนพ้อง คุมกองทัพบก-เรือ-อากาศไว้ในกำมือ มั่นใจว่ากลุ่มผู้ชุมนุมที่ไร้ “ลุงจำลอง” และแกนนำคนอื่นๆ จะต้องขลาดกลัว และต้องยอมสยบเป็นแน่..
ทว่า..การณ์หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ท่ามกลางสถานการณ์ทหารใช้ความรุนแรง ปราบปรามประชาชนอย่างป่าเถื่อน ก็ถูกประชาชนตอบโต้อย่างไม่หวั่นเกรง พร้อมยื่นข้อเรียกร้อง ให้ “นายกฯ บิ๊กสุ” ปล่อย “ลุงจำลอง” กับแกนนำทันที โดยไม่มีเงื่อนไข.. ที่สำคัญ “นายกฯ บิ๊กสุ” ต้องลาออกด้วย
อีกทั้งแกนนำนักศึกษา ม.รามคำแหง ที่โดดเด่นในห้วงนั้น เช่น “จตุพร พรหมพันธุ์” เลขาธิการพรรคศรัทธาธรรม ม.รามคำแหง “ศิริวัฒน์ ไกรสินธุ์” นายกฯองค์การนักศึกษา ม.รามคำแหง “ยุทธพันธุ์ มีชัย” เลขาธิการพรรคสานแสงทอง ม.รามคำแหง และ“อุสมาน ลูกหยี” สมาชิกพรรคศรัทธาธรรม ซึ่งเป็นนักปราศรัยที่ผู้คนชื่นชอบ
โดย “แกนนำนักศึกษารามฯ”ได้ประกาศว่า จะมีการชุมนุมนักศึกษาและประชาชนครั้งใหญ่ ที่ ม.รามคำแหง โดยไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย ต่ออำนาจรัฐบาลเผด็จการ “บิ๊กสุ” ที่ใช้กำลังทหารปราบปรามประชาชนอย่างโหดร้ายอยู่ในขณะนั้น
ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในร้านอาหารจีน “พงหลี” มีการประชุมของนักเคลื่อนไหวหลายกลุ่ม ร่วมกับกลุ่มแกนนำนักศึกษา ม.รามคำแหง ก่อนจะมีการชุมนุมใหญ่ที่ ม.รามคำแหง
ข่าวการจะมีชุมนุมใหญ่นี้ ทำให้สำนักข่าวต่างประเทศมากมาย ส่งผู้สื่อข่าวที่มีชื่อเสียงและมากประสบการณ์ เชี่ยวชาญเรื่องการจลาจลและสงครามกลางเมือง เดินทางเข้ามาในประเทศไทย พร้อมอุปกรณ์สื่อสาร เพื่อเตรียมจะรายงานสถานการณ์ รัฐบาล “บิ๊กสุ” กำลังจะเผชิญหน้ากับการชุมนุมใหญ่ของนักศึกษาและประชาชน เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก
ด้วยผู้สื่อข่าวทั้งในและต่างประเทศ เชื่ออย่างเต็มร้อยว่ารัฐบาล “นายกฯ บิ๊กสุ” จะต้องใช้ทหารปราบปรามอย่างรุนแรง เพื่อยุติการชุมนุมใหญ่ของนักศึกษากับประชาชนครั้งนี้อย่างแน่นอน เหตุการณ์ห้วงนั้นจึงตึงเครียดอย่างยิ่ง ดูท่าว่าจะหลีกเลี่ยงเรื่อง“ทหารไทยฆ่าประชาชนไทย”ไม่ได้เสียแล้ว..
เพราะเป็นไปไม่ได้เลย ที่รัฐบาล “บิ๊กสุ” ซึ่งลงมือใช้ทหาร ใช้อาวุธสงครามเข่นฆ่าประชาชนไปแล้ว จะยุติลงง่ายๆ โดยยังไม่ชนะ! ขณะที่ประชาชนก็ไม่ยอมสยบก้มหัว ให้กับ “รัฐบาลเผด็จการทหารบิ๊กสุ”..ประชาชนผู้รักชาติพร้อมสู้ตายกันแล้ว!..
ตลอดการชุมนุมเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาล “ตระบัดสัตย์บิ๊กสุ” “จารย์โต้ง” กับผมได้โทรศัพท์ถามไถ่ถึงสถานการณ์ แลกเปลี่ยนทัศนะกันหลายครั้งในหลายเรื่อง..
และแล้วก็เกิดเรื่องราวไม่คาดฝัน ซึ่งทำเอาผู้สื่อข่าวทั้งหลายถึงกับอึ้งกิมกี่ โดยเฉพาะผู้สื่อข่าวต่างประเทศทุกคน ตะลึงกับเหตุการณ์ที่เขม็งเกลียวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ พลันสงบจบลงทันทีชนิด “พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ”!
..โปรดติดตามอ่านต่อฉบับหน้า..