"โสภณ องค์การณ์"
หน้าตาของคณะรัฐมนตรีของกลุ่ม 3 ลุงจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องน่าห่วงแล้ว เพราะถึงอย่างไรก็ไม่พ้นรูปแบบของการเมืองเพื่อกลุ่มผลประโยชน์ซึ่งพยายามจัดสรรปันส่วนตามสิทธิพึงได้พึงมี บ้านเมืองเสี่ยงต่อความเสียหาย ประชาชนไม่ได้อะไรมากแน่
ใครจะไป ใครจะมา ชาวบ้านขอเพียงแต่หวังว่าอย่าทำให้บ้านเมืองเสียหายมากกว่าที่เป็นอยู่ก็เป็นบุญโข ถ้าจะให้ดี ก็ขอให้มีแนวโน้มของการตั้งใจบริหารจัดการให้มีผลกระทบน้อยที่สุดจากเศรษฐกิจเป็นพิษยืดเยื้อเรื้อรัง ที่ยังมองไม่เห็นทางออก
แต่หน้าตาของรัฐมนตรีที่จะเข้ามา ซึ่งยังไม่รู้ว่าใครจะอยู่ตำแหน่งไหนในที่สุด จะเป็นประเด็นทำให้ปัญหาอื่นๆ ลุกลาม จนรัฐบาล 3 ลุงอาจอยู่ไม่รอดได้นานก็เป็นได้
ยิ่งเห็นการแก่งแย่งตำแหน่ง ผลประโยชน์ โดยพวกเสือโหยทั้งหลายมองไม่เห็นหัวประชาชน ไม่ตระหนักถึงวิกฤตเศรษฐกิจที่เผชิญอยู่ ชาวบ้านที่ห่วงใยบ้านเมืองคงจะคิดหนัก หาหนทางเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด ก่อนที่จะระดมพลังทำอะไรเพื่อให้บ้านเมืองอยู่รอด
นั่นเป็นเพราะถ้าบ้านเมืองอยู่ไม่รอด ประชาชนก็ไปไม่รอดเช่นกัน ดังนั้นวิกฤตเศรษฐกิจเป็นปัจจัยชี้ขาดอย่างหนึ่งถึงความอยู่รอดของบ้านเมือง ถ้าจัดการไม่ดี เอาไม่อยู่ เราจะเห็นว่าความเลวร้ายในช่วงหลังจากวิกฤตต้มยำกุ้งนั้น เป็นเหมือนเรื่องขี้ผง
รอดูว่าคนที่จะมารับงานกระทรวงการคลัง พลังงาน และเก้าอี้ตัวอื่นๆ จะเป็นใคร และคนที่ไม่พอใจในพรรคแกนนำรัฐบาลจะยังออกฤทธิ์ ออกเดช เขย่าเรือแป๊ะที่กำลังรั่วผุโทรมหนัก จากหัวจรดท้ายเรือ จนถึงวาระอับปาง โดยมีชาวบ้านช่วยเล่นงานซ้ำหรือไม่
ประเด็นที่น่ากังวลอย่างมากขณะนี้สำหรับรัฐบาล 3 ลุง คือการก่อตัวของพลังประท้วง ต่อต้าน และจะถึงขั้นขับไล่รัฐบาล โดยกลุ่มนักศึกษา เยาวชนทั้งในระดับมัธยม และมหาวิทยาลัย ซึ่งกำลังลามไปหลายจังหวัด และน่าจะไปเกือบทั่วประเทศในไม่ช้า
กว่าจะถึงกำหนดเส้นตายที่กลุ่ม Free Youth และกลุ่มอื่นๆ ตั้งไว้ในอีกไม่ถึง 2 สัปดาห์ รัฐบาลคงจะได้เห็นชุมนุมในหลายจุดทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด จนถึงขั้นปะทุพร้อมกันถ้ารัฐบาลไม่ให้คำตอบน่าพอใจ ซึ่งท่าทีของรัฐบาลทหาร คงไม่ยอมง่ายๆ
นี่เป็นการชุมนุมในรูปของ flash mob ไม่ต้องนัดหมายเวลาล่วงหน้า “เต็มออก เต็มออก” หรือการรณรงค์โดยต้องมีความพร้อมด้านเสบียงอาหาร ห้องน้ำ หรือปักหลักพักค้าง ยึดพื้นที่ เพราะยุคนี้เป็นการชุมนุมแบบต้นทุนต่ำ ต่างคนต่างมาแล้วก็ไป
วันชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นสัญญาณเตือนชัดเจนว่ากลุ่มเยาวชนมีศักยภาพ มีเครือข่ายกว้างขวาง มีประชาชนที่ไม่พอใจรัฐบาลยาวนาน จากปัญหาเศรษฐกิจ ความทุกข์ยากในการดำรงชีพ ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ ฯลฯ พร้อมเข้าร่วม
ทุกวันนี้ หลายกลุ่มอยากเข้าร่วม เพียงแต่ยังติดในประเด็นการก้าวล่วงสถาบันซึ่งยังมีแทรกอยู่ในการชุมนุม และเป็นจุดเปราะบางที่ทำให้คนทั่วไป ไม่อยากยุ่งด้วย
การชุมนุมแบบต้นทุนต่ำ ต่างคนต่างมา ใช้โซเชียลมีเดีย ระบบถ่ายทอดสดผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือการระดมการสนับสนุน สามารถทำให้เป็นล้านๆ คนอย่างง่ายดาย ไม่ต้องระดมเงินบริจาค หรือจ่ายค่าเต็นท์ เครื่องเสียง เวที หรือองค์ประกอบอื่นๆ
ยิ่งรัฐบาลประกาศว่าการต่ออายุ พรก. ฉุกเฉิน ไม่ใช่การปิดกั้นการชุมนุมทางการเมือง เป็นเพียงเรื่องโควิด-19 ก็ทำให้เป็นเหมือนพันธะผูกพัน แต่ก็เห็นแล้วว่าถ้าจะใช้เรื่องผิดกฎหมายต่างๆ ที่มีอยู่ กลุ่มผู้มาชุมนุมก็ไม่หวาดหวั่น เพราะเคยโดนมาเยอะแล้ว
เห็นแล้วน่าหนักใจ เพราะยังมองไม่เห็นทางว่ารัฐบาลจะรับมืออย่างไร ถ้าการชุมนุมเป็นจุดๆ กระจายไปทั่วประเทศ ตามสถานศึกษา จุดต่างๆ ในเมือง ใกล้ศูนย์การค้า ถ้าเกิดขึ้นทุกวัน หลายแห่งพร้อมกัน หรือลามไปถึงอำเภอขนาดใหญ่
จะจับกุม ปราบปรามอย่างไร ก็ไม่น่าจะเอาอยู่ ยิ่งใช้มาตรการเด็ดขาด ก็ยิ่งจะเรียกแขก หรือทัวร์ลง เพราะรัฐบาลอาจไม่รู้ว่ามีประชาชนเบื่อหน่ายรัฐบาล และพฤติกรรมผยองอำนาจ ความโอหังของนักการเมือง การทุจริต คอร์รัปชั่น มากแค่ไหน
ถ้ารัฐบาลเล่นแรง ผลสุดท้าย กลุ่มพ่อแม่ญาติพี่น้องของเยาวชนก็คงทนไม่ได้ คงชักชวนพรรคพวกเพื่อนฝูงเข้ามาร่วม จนกลายเป็นการลุกฮือของประชาชน ตัวอย่างของเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 มีให้เห็นเป็นตัวอย่าง แต่คณะ 3 ลุงจะรู้ซึ้งหรือไม่เท่านั้น
ถ้ามีการชุมนุมยืดเยื้อ จะเป็นภาระหนักสำหรับรัฐบาล ถ้าหน้าตา ครม.ชุดใหม่ดูไม่ดี มีตัวร้ายกุมตำแหน่งแหล่งเงินทอง ก็ยิ่งเป็นเหตุให้คนทั่วไปเข้ามาร่วมด้วย คงไม่ต้องจินตนาการมากว่าเศรษฐกิจของประเทศจะอยู่ในสภาพถดถอยเสื่อมทรุดอย่างไร
ทุกวันนี้ นักธุรกิจ นักลงทุน พ่อค้า ต่างเหนื่อยกับปัญหา สายป่านเริ่มเปื่อยยุ่ย หนี้สิน ภาระต่างๆ โอกาสทำมาหากินก็แสนยาก นักลงทุนเห็นการกำจัดกลุ่ม 4 กุมารออกไปอย่างไร้หลักการและเหตุผล ก็ย่อมคิดหนัก คงอยากเผ่นไปเวียดนามกันเยอะ
เป็นยุคที่คนมีเงินไม่อยากใช้เงิน นักลงทุนยอมรอต่อไป ดีกว่าเสี่ยงแบบคนตาบอดสำนักงานส่งเสริมการลงทุนน่าจะประเมินได้ดีว่าบรรยากาศขณะนี้เป็นอย่างไร ทั้งการเมืองน้ำเน่า ปัญหาการชุมนุมเรียกร้องที่จะเกิดขึ้น ซึ่งอยู่เกินภาวะที่จะควบคุมได้
รัฐบาลคงรู้ปัญหา แต่คงไม่รู้หนทางแก้ ไม่อย่างนั้นคงไม่สิ้นท่าอย่างนี้!
รัฐบาล 3 ลุง จะดูเบา ประเมินเด็กๆ ต่ำ ไม่ได้ จะตะคอก ขู่คำราม ว่าจะใช้มาตรการเด็ดขาดอย่างไร เยาวชนรุ่นนี้คงไม่กลัว ถ้าเชือดไก่ให้ลิงดู คนสั่งให้เชือดต้องหนีออกนอกประเทศให้ทัน เพราะเป็นมิคสัญญีถึงขั้นนั้น ไม่มีใครต้องกลัวใครอีกแล้ว
ดูแล้ว อนาคตของประเทศน่าห่วง ลำพังเยาวชนรุ่นปัจจุบันมีแนวคิด พฤติกรรมต่างจากคนรุ่นลุง รุ่นอา มากอยู่แล้วเพราะการพัฒนาด้านเทคโนโลยี คนล้าสมัย ตามโลกไม่ทัน ก็ตามความคิดของเด็กรุ่นนี้ไม่ทัน พูดจาด้วยก็ยาก จะให้เชื่อฟังคนก็ไม่ง่าย
คนต่างรุ่น ต่างวัย ต่างยุคความคิด ย่อมต้องมีวิธีการจัดการ ซึ่งยากมาก เพราะจะมีคนผสมโรง ฉวยโอกาสหาประโยชน์จากสถานการณ์ ทุกยุค รวมทั้ง “มือที่ 3” ขาประจำ จ้องอยู่ ไม่รวมถึงชาติมหาอำนาจซึ่งต้องการให้เมืองไทยมีวิกฤตเศรษฐกิจ และขอให้ช่วย
พวก 3 ลุงจะโทษใครก็ไม่ได้ ต้องโทษตัวเอง เพราะกว่า 6 ปี ไม่ทำอะไรด้านการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ สังคม กระบวนการยุติธรรม กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ เล่นพรรคเล่นพวก ย่ำยีหัวใจของประชาชนเพราะความผยองอำนาจ แถมยังมีเรื่องโกงกินหนัก
เมื่อลำพองอำนาจ มัวแต่เล่นการเมืองเพื่อประสานผลประโยชน์ของพวกพ้องเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ไม่เห็นหัวประชาชน ก็ต้องเผชิญภาวะอย่างนี้ และประชาชนส่วนหนึ่งคงคิดแล้วว่า ถ้าจะมีรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพอย่างนี้ต่อไปไม่จบสิ้น จะมีเอาไว้ทำไม
พวก 3 ลุงหาคำตอบก็แล้วกัน ว่าจะให้ตัวเองอยู่รอด หรือให้บ้านเมืองอยู่รอด!