การเปลี่ยนแปลงภายในพรรคพลังประชารัฐ สร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองครั้งใหญ่ เพราะกระแสการปรับ ครม.ปะทุขึ้นทันที โดยเฉพาะครม.เศรษฐกิจของดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ตกเป็นเป้าหมายของการเลื่อยขาเก้าอี้
ส.ส.พรรคพลังประชารัฐประกาศตัวในนามกลุ่มอำนาจใหม่ ออกมาโจมตีดร.สมคิด อ้างว่า ทฤษฎีการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปฏิบัติไม่ได้แล้ว จนประชาชนเบื่อหน่ายการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และดร.สมคิดกลายเป็นตัวขวางไม่ให้คนใหม่เข้ามาแก้ปัญหา
ขณะที่กลุ่ม 4 กุมารถูกกดดันให้ปรับออกจาก ครม.ประกอบด้วยนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ปฏิบัติการเขี่ยทีมเศรษฐกิจดร.สมคิด มีเป้าหมายที่จะนำโควตารัฐมนตรีเศรษฐกิจไปแบ่งปันในกลุ่มการเมืองพรรคพลังประชารัฐ
การเปิดศึกชิงเก้าอี้รัฐมนตรี เกิดขึ้นท่ามกลางเศรษฐกิจที่ทรุดหนัก ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ผู้ประกอบการธุรกิจอยู่ในสภาพรอวันตาย ทำให้สังคมรุมประณามกลุ่มการเมืองที่ก่อชนวนไล่ทีมเศรษฐกิจ
แม้ว่า ผลงานการแก้ปัญหาเศรษฐกิจยังไม่เป็นที่น่าพอใจ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความรู้สึกว่า ทีมดร.สมคิดยังดีกว่าทีมเศรษฐกิจที่พรรคพลังประชารัฐเปิดตัวขึ้นมา ซึ่งมีเสียง “ยี้” ตอบรับทันที
วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ รุนแรงยิ่งกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 หลายเท่า และไม่ว่าจะเป็นทีมดร.สมคิดหรือทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ คงไม่สามารถปลุกเศรษฐกิจให้ฟื้นได้ภายในเวลาอันสั้น
ความคาดหวังจากรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีเพียงการประคับประคองเศรษฐกิจให้ฝ่าวิกฤตเชื้อไวรัสโควิด-19 ไปได้เท่านั้น
แต่การนำโควตารัฐมนตรีเศรษฐกิจ ไปจัดสรรแบ่งปันให้กลุ่มนักการเมืองประเภทเสือหิว ทำให้เกิดความกังวลว่า จะทำให้เศรษฐกิจเลวร้ายหนักไปกว่าเดิม
เพราะนักการเมืองที่เตรียมเสียบแทนทีมดร.สมคิด นอกจากไม่มีประสบการณ์ ความสามารถทางด้านเศรษฐกิจไม่เป็นที่ประจักษ์แล้ว ยังเป็นกลุ่มนักการเมืองที่มุ่งแต่ตักตวงผลประโยชน์ โดยไม่ตระหนักถึงหายนะของประเทศ
ธนาคารแห่งประเทศไทยประมาณการว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีปีนี้ จะติดลบ 8.1% และเป็นการติดลบมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ขณะที่การส่งออกเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ลดลง 22.5% ต่ำสุดในรอบ4 ปี
ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจปีนี้ซบเซาสุดขีด และอาจใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี จึงจะเริ่มกระเตื้อง
6 เดือนแรกผ่านพ้นไปแล้ว โดยระบบเศรษฐกิจถูกซ้ำเติมด้วยไวรัส “โควิด” จนฟุบหนัก และคาดว่า ครึ่งหลังอาจเลวร้ายกว่าครึ่งปีแรก โดยเฉพาะประชาชนที่ประคองชีวิตจากเงินเยียวยาเดือนละ 5,000 บาท เพราะมาตรการสิ้นสุด
ส่วนมาตรการยืดเวลาผ่อนชำระหนี้ 3 เดือน บางภาคธุรกิจจะไม่ได้รับการผ่อนปรน โดยจะต้องเริ่มชำระหนี้ ขณะที่รายได้ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ และจะนำไปสู่ปัญหาหนี้เสียระลอกใหม่
ประชาชนกำลังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และรอคอยความหวังจากรัฐบาลในการผลักดันมาตรการบรรเทาความเดือดร้อน แต่นักการเมืองพรรครัฐบาล กลับเปิดศึกชิงเก้าอี้รัฐมนตรี เพื่อรุมสวาปามงบประมาณเยียวยา “โควิด” โดยเฉพาะงบฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท
กลุ่ม 4 กุมารไม่ได้เป็นที่ศรัทธาของประชาชนมากนัก และแม้ยังอยู่ต่อ คงไม่ช่วยให้เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น แต่ขับกลุ่ม 4 กุมารเพื่อเปิดทางให้นักการเมืองกลุ่มเสือหิวเข้ามานั่งในกระทรวงเศรษฐกิจ จะเป็นข่าวร้ายยิ่งกว่าตัวเลขจีดีพีที่ติดลบกว่า 8% เสียอีก
เพราะวิกฤตเศรษฐกิจขณะนี้ ไม่เปิดโอกาสให้นักการเมืองที่ไม่มีความรู้ ไร้ความสามารถขาดประสบการณ์ เข้ามาฝึกงาน โดยเฉพาะนักการเมืองที่มีเป้าหมายมาปล้นงบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท
ทีมงานเศรษฐกิจของพล.อ.ประยุทธ์มีเดิมพันสูงมาก เพราะสามารถชี้เป็นชี้ตายประเทศได้ ซึ่งหากปล่อยให้นักการเมืองที่หิวกระหายผลประโยชน์เข้ามาคุมกระทรวงการคลังและนั่งกระทรวงพลังงาน อาจเป็นตัวเร่งหายนะของประเทศ
การปรับ ครม.คงเป็นสิ่งที่หลีกเลียงไม่ได้ แม้พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ต้องการปรับเปลี่ยนก็ตาม แต่การที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เข้าเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ การเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ทำให้กลุ่มอำนาจใหม่ในพรรคพลังประชารัฐมีอำนาจการต่อรองมากขึ้น
ทีมเศรษฐกิจของดร.สมคิดคงต้องถูกสลาย ซึ่งไม่รู้ว่า เมื่อโละทีม 4 กุมารแล้ว เศรษฐกิจจะดีขึ้นหรือไม่ ซึ่งทัศนะคนส่วนใหญ่เชื่อว่า เศรษฐกิจจะแย่ลง
การริบโควตารัฐมนตรีเศรษฐกิจคืน น่าจะถือเป็นโชคของทีมเศรษฐกิจดร.สมคิด เพราะได้โอกาสลงจากหลังเสือ
เพราะดึงดันอยู่ต่อไปเศรษฐกิจก็ไม่ฟื้น ปล่อยให้นักการเมืองที่กระสันตำแหน่งรัฐมนตรีเศรษฐกิจเข้ามารับเคราะห์แทนดีกว่า
ปล่อยให้ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่มารับเสียงด่า ฐานทำให้เศรษฐกิจพังคามือดีกว่า