เราผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มเพื่อสกัดการระบาดของโรคโควิด-19 หลังจากกว่า 3 เดือน รัฐบาลคณะ 3 ลุงได้ใช้เงินทั้งงบประมาณปี 2563 และงบพิเศษอีก 1.9 ล้านล้านบาทเพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนหนึ่งจ่ายให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบเพื่อให้อยู่รอด
แน่นอน การแจกเงินให้ชาวบ้านย่อมได้รับความชื่นชม ในแง่ของผู้รับ แม้จะกระจายไม่ทั่วถึง เพราะคนลำบากทุกข์ร้อนจริงๆ ไม่สามารถเข้าถึงด้วยข้อติดขัดด้านอุปกรณ์และความรู้ และการจำกัดด้านเวลา ความเร่งรีบในการต้องให้เงินถึงมือชาวบ้าน
ผลที่ได้รับ จะคุ้มค่ากับเงินมหาศาลหรือไม่ ยังไม่มีใครทำวิจัยหรือศึกษา หรือว่าเงินส่วนใหญ่ไปอยู่ที่ไหน และยังจะต้องมีเงินอีกส่วนหนึ่งกันไว้ช่วยเหลือธุรกิจขนาดย่อม และบริษัทซึ่งต้องออกหุ้นกู้ใหม่ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรับไว้ เพื่อไถ่ถอนหุ้นกู้รุ่นก่อน
การจ่ายเงินช่วยเหลือให้ชาวบ้าน เทียบกับความคุ้มค่า ก็ยังไม่มีข้อสรุปว่าเป็นอย่างไร และยิ่งเทียบกับภาระด้านการเงินการคลัง หนี้สินของประเทศที่เพิ่มขึ้น กับศักยภาพของการหารายได้ใช้คืนหนี้ ในสภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ยิ่งต้องน่าห่วง
เหมือนกับเป็นแนวคิดที่ว่า “กู้มาก่อน แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ปัญหาใหม่เอาไว้ว่ากันภายหลัง” ด้วยเหตุนี้ ในยุคของคณะ 3 ลุง จึงมีการใช้เงินเกินงบประมาณ ต้องกู้ทุกปี และยังไม่มีท่าทีวี่แววว่าประเทศจะสามารถจัดทำงบประมาณสมดุล เลิกกู้หนี้ ได้เมื่อไหร่
แถมยังเสียงคนพูดเชิงแบะท่าว่าสถานภาพของประเทศ ยังจะกู้ได้อีก ไม่ต้องห่วง!
เมื่อสภาวะเศรษฐกิจต้องรอการกระตุ้นยามที่รายได้หลักคือการส่งออก และการท่องเที่ยว ยังดูเลือนราง เพราะการระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่อื่นๆ ของโลก ยังเป็นไปอย่างน่ากังวล ระยะแรกยังไม่จบสิ้น ก็เริ่มมีการเตือนย้ำซ้ำๆ ว่าระวังการระบาดระลอก 2
ดังนั้นความหวังของรัฐบาล จึงพยายามกระตุ้นให้มีการใช้จ่ายภายในประเทศ การท่องเที่ยว การบริโภค ซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการ และกำลังการซื้อ ซึ่งขึ้นอยู่กับรายได้ และโอกาสของคนสร้างรายได้ ที่สำคัญ คนที่ว่างงงาน ขาดรายได้ ยังไม่มีทางออก
นั่นเป็นเพราะธุรกิจบริการต่างๆ ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยว ยังไม่สามารถฟื้นตัว ตัวเลขคนว่างงานที่ว่ากันว่าอยู่ในระดับ 7 ล้านคน ของประชากร 70 ล้านคน ถือว่าไม่ธรรมดา ไม่นับถึงพวกว่างงานแอบแฝงเรื้อรังในภาคชนบท การจัดเก็บตัวเลขยังไม่ดีพอ
ยิ่งช่วงนี้รัฐบาลแทบไม่มีเวลาได้วางแผนเดินหน้าด้านการบริหารเศรษฐกิจ เพราะมัวแต่วุ่นอยู่กับข่าวการเปลี่ยนแกนนำพรรคพลังประชารัฐ โดยการแก่งแย่ง ยึดอำนาจโดยกลุ่มผู้ต้องการมีส่วนร่วมในการใช้จ่ายงบมหาศาล โดยต้นเหตุหลักคือผลประโยชน์
การชิงอำนาจอย่างเข้มข้น ไม่เกรงใจประชาชน สร้างบรรยากาศน่าสยองสำหรับคนห่วงบ้านเมืองเป็นอย่างมากว่าเงินก้อนใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจกำลังถูกมองว่าเป็นลาภลอยอันโอชะ จัดหามาได้โดยวิกฤตของการระบาดของโควิด-19 สำหรับนักเลือกตั้ง
ในช่วงที่รัฐบาลกำลังปลดล็อก ปรากฏว่าไม่มีแผนรองรับว่าจะให้คนว่างงาน 7 ล้านคนนั้นมีหนทางสร้างรายได้อย่างไร งบประมาณ 4 แสนล้านบาทต้องรองรับกับโครงการต่างๆ ที่ถูกจัดทำมาอย่างสุกเอาเผากิน เพียงคำอ้างว่าเพื่อแก้ปัญหาโควิด-19
รัฐบาลทราบหรือไม่ว่ากลุ่มธุรกิจรายย่อย เช่น SME ที่รัฐบาลตั้งงบไว้ 5 แสนล้านบาทนั้นถูกมองว่าส่วนใหญ่ที่ต้องการแท้จริง จะไม่มีโอกาสได้เข้าถึง เพราะธนาคารพาณิชย์จะปล่อยกู้ให้กับกิจการที่ตัวเองคุ้นเคย หรือว่าตรงๆ ก็คือลูกค้าที่มีปัญหาเท่านั้น
ก่อนการระบาด ธนาคารพาณิชย์ก็ระวังการปล่อยกู้อย่างเข้มงวด เป็นยุคที่คนมีทรัพย์สิน บ้าน และที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ จะหาคนซื้อไม่ได้ง่าย เว้นแต่ราคาจะต่ำมาก
รายใหม่อย่าหวัง เพราะจะต้องติดเงื่อนไขต่างๆ สารพัด ดังนั้น กลุ่มธุรกิจเริ่มต้นใหม่อย่างเช่น Start-up ที่รัฐบาลเคยส่งเสริม เมื่อเผชิญกับเศรษฐกิจถดถอย ก็ไม่ต่างจากไส้ตะเกียงที่ขาดน้ำมัน ถ้าไม่มีเงินช่วยเหลือ หรือมีโอกาสสร้างรายได้ ก็เพียงแค่รอวันปิด
เมื่อไม่มีมาตรการรองรับ กลุ่มรัฐมนตรีเศรษฐกิจส่วนหนึ่ง คือ “กลุ่ม 4 กุมาร” ยังว้าวุ่นกับอนาคตของตัวเอง ว่าจะโดนเขี่ยทิ้งโดยกลุ่มโหยหาอำนาจและผลประโยชน์หรือไม่ แต่ละวันมีแต่การคาดเดา คำรับประกันของลุงตู่ว่าจะไม่ปรับ ครม.ก็ไม่หนักแน่น
ยิ่งเวลาผ่านไป กลุ่มผู้โหยหาอำนาจยิ่งลำพองฮึกเหิม จนสำเร็จในการยุบคณะกรรมการบริหารพรรค และต้นเดือนหน้าก็จะเลือกกลุ่มใหม่ พร้อมข่าวปล่อยโดยตลอดว่ากลุ่ม 4 กุมารโดนเด้งแน่ เมื่อโดนแบบนี้ คงไม่เป็นอันทำงาน รอให้กลุ่มใหม่มาทำเอง
การเมืองเลือดเย็น อำมหิต ไร้น้ำใจ ทำให้สภาวะของบ้านเมืองตกต่ำ ไร้มาตรฐานด้านคุณธรรม จริยธรรม และลุงตู่ผู้นำจะพิสูจน์ตัวเองว่าอยู่ใต้การกดดันและอิทธิพลของกลุ่มโหยหาอำนาจ และมุ่งเอาตัวรอดโดยปรับ ครม.ให้พวกกลุ่มใหม่ชี้นิ้วบงการหรือไม่
บ้านเมืองกำลังอยู่ในภาวะหัวเลี้ยวหัวต่อ โอดอ้างความสำเร็จในการจัดการปัญหาการระบาดของเชื้อโรค แต่ไม่สามารถระงับเชื้อชั่วร้าย คือการโกงบ้านกินเมืองได้ เป็นเชื้อชั่วไม่เคยตาย กัดกร่อนกินเงิน โครงสร้างผุพัง รอวันพังพาบ ถ้ายังไม่เลิกโกงกิน
น่าเสียดาย ประเทศไทยได้เปรียบในด้านการที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการระบาดของโควิด-19 เศรษฐกิจมีโอกาสได้ฟื้นตัวเร็วกว่าประเทศอื่นๆ อย่างน้อยที่สุดก็เป็นการบริโภคภายในประเทศ การท่องเที่ยว จะได้ไม่จมดิ่งมากกว่านี้ น่าเสียดายไม่มีระบบอะไรรองรับ
กลุ่ม 4 กุมาร ไม่วางแผนจริงจังอะไร เพราะสัญญาณว่าจะไม่ได้อยู่ต่อแรงเหลือเกิน แต่ละวันมีข่าวเลื่อยขาเก้าอี้ ความหิวกระหายลำพองของกลุ่มโหยหาอำนาจ
ต้องรอดูว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ที่ว่าจะมีการปรับเดือนหน้านั้นมีใครดูแลจัดการกระทรวงสำคัญ เช่นคลัง และพลังงาน ตามที่กลุ่มโหยหาอำนาจต้องการ จะเป็นตัวชี้ว่าบ้านเมืองจะเสี่ยงกับการกอบโกยผลประโยชน์อย่างหนักและผู้นำจะน่าเชื่อถืออีกหรือไม่