เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องไปว่ากันในเรื่องประเภทที่ก่อให้เกิดอาการหูแหก-ตาแหก ขนหัวลุก-ขนคอตั้ง หรือเรื่องที่มักก่อให้เกิด “ความกลัว” ของใครต่อใคร ไม่ว่าในระดับโลก หรือบ้านเรา อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ ไม่ว่า “กลัวเป็นโรคตาย” (โรคระบาด) “กลัวอดตาย” (เศรษฐกิจ) หรือ “กลัวฆ่ากันตาย” (สงคราม) เพราะอย่างน้อย...อาจพอเอามา “ชั่งน้ำหนัก” ได้มั่งว่า อะไรที่มันน่ากลัว-ไม่น่ากลัว มาก-น้อยไปกว่ากัน...
โดยลำดับแรก...คงต้องยอมรับนั่นแหละว่า ระหว่างความ “กลัวเป็นโรคตาย” กับ “กลัวอดตาย” นั้น ออกจะเป็นอะไรค่อนข้างมี “ปฏิสัมพันธ์” ระหว่างกันและกัน ชนิดแทบไม่อาจแยกจากกัน หรือตัดขาดไปจากกันได้เลย คือด้วยเหตุเพราะความกลัวอดตาย หรือกลัวภาวะเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ อาจต้องฉิบหายวายวอด เจ๊งระเนนระนาด ชนิดไม่อาจฟื้น ไม่อาจเงยหน้าอ้าปากขึ้นมาได้อีกต่อไป ความพยายามหันมา “รี-โอเพ่น” หันมาเปิดบ้าน เปิดเมือง เลิก “ล็อกดาวน์” หรืออาจถึงขั้นเลิกเว้นระยะห่าง เลิกสวมหน้ากากในบางประเทศ มันเลยส่งผลให้ตัวเลขจำนวน“ผู้ติดเชื้อ” ไวรัส “COVID-19” ในระดับทั่วทั้งโลก ช่วงหลังๆ นี้ หรือหลังจากใครต่อใครชักเริ่มคลายๆ ความกลัวลงไปบ้าง เลยยังมาแรงแซงโค้ง หรือยังคงระเบิดเถิดเทิง ปาเข้าไปชนิดวันละเป็นแสนๆ ราย หรือ 237,743 ราย ตามสถิติเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อันทำให้ผู้ซึ่งมีหน้าที่ป้องกันมิให้ชาวโลกทั้งหลายต้องเป็นโรคตายกันไปมากกว่านี้ อย่างผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่มีชื่อเรียกยากแบบชนิดเข็ดลิ้นอยู่พอสมควร คือ “นายเทดรอส อัดฮานอม กีบรีเยซุส” (Tedros Adhanom Ghebreyesus) ถึงกับออกอาการขนหัวลุก ขนคอตั้ง มิใช่น้อย หรือถึงกับสรุปว่า...แนวโน้มที่สถานการณ์โรคระบาดจากเชื้อไวรัส “COVID-19” น่าจะหนักไปทางเลวร้ายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หรือ “worse and worse and worse” อันเนื่องมาจากความ “กลัวอดตาย” ของแต่ละประเทศนั่นเอง...
โดยเฉพาะประเทศที่อยู่ภายใต้ผู้นำ ผู้บริหารจัดการ ประเภทหนักไปทาง “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ทั้งหลาย...เช่น ประเทศอเมริกาของ “ทรัมป์บ้า” ที่นอกจากจะผงาดขึ้นเป็น “จ้าวโรค” โดยไม่มีใครคิดจะไปแข่ง ไปแย่ง เพราะจำนวน “ผู้ติดเชื้อสะสม” ที่ปาเข้าไปไม่ต่ำกว่า 3.68-3.77 ล้านราย เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา และคงทะลุหลัก 4 ล้านอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล ขณะที่จำนวน “ผู้ตาย” พุ่งทะลุหลักแสน หรือปาเข้าไป 1.4 แสนรายเป็นอย่างน้อย การทำสถิติจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มในแต่ละวัน หรือในรอบ 24 ชั่วโมง ยังพุ่งไปถึงวันละเกือบแสนราย หรือ 77,000 รายเข้าไปแล้ว เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนประเทศบราซิล ที่ต้องตกอยู่ภายใต้อุ้งมือ “ทรัมป์แห่งเขตร้อน” อย่าง “นายฌาอีร์ โบลโซนารู” ที่แม้ตัวเองต้องตกเป็นเหยื่อ “COVID-19” ไปด้วยแล้วก็ตาม แต่โดยจำนวนตัวเลขสถิติของผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วย ผู้ตายในดินแดนแซมบ้า ก็ยังพยายามวิ่งไล่กวด วิ่งไล่ตามคุณพ่ออเมริกามาติดๆ คือแม้มีผู้ติดเชื้อสะสมไปแล้วถึง 2,046,328 ราย ตายไปแล้ว 77,851 ราย การเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อในแต่ละวัน ก็ยังคงพุ่งโด่งไปถึงวันละ 34,177 ราย ขณะอินตะระเดีย หุ้นส่วนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของคุณพ่ออเมริกา ก็ยังเป็นอะไรที่ “นาร๊ายณ์...นารายณ์” อย่างไม่คิดจะลดละ คือแม้ติดเชื้อสะสมไปแล้วถึง 1,003,832 ราย ตายไปแล้ว 25,602 ราย ก็ยังคงเร่งทำสถิติจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน ไปถึงวันละ 34,956 ราย เมื่อช่วงวันศุกร์ (17 ก.ค.) ที่ผ่านมาจนได้ ฯลฯ ฯลฯ...
การที่โลกทั้งโลก...ยังเต็มไปด้วย “ผู้ติดเชื้อ” เพิ่มวันละเป็นแสนๆ รายเช่นนี้ เลยทำให้ความ “กลัวเป็นโรคตาย” กับ “กลัวอดตาย” จึงเป็นอะไรที่ชั่งน้ำหนักได้ยากส์ส์ส์ ลำบากยิ่งเข้าไปทุกที หลายต่อหลายประเทศที่หันไปเปิดบ้าน-เปิดเมืองไม่นาน หนีไม่พ้นต้องหันกลับมาปิดบ้าน-ปิดเมือง หรือหันมา “ล็อกดาวน์” กันใหม่ ไม่ก็ออกไปทาง “ลักปิด-ลักเปิด” หรือทะเลาะเบาะแว้ง ถกเถียง กลายเป็นความขัดแย้งภายในสังคมของแต่ละประเทศ ว่าจะปิดหรือจะเปิดกันดี ยิ่งโดยเฉพาะในรัฐแต่ละรัฐของอเมริกาด้วยแล้ว ต้องเรียกว่า...เละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก ไม่ว่าระหว่างรัฐต่อรัฐ หรือระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐบาลท้องถิ่น ที่หาข้อสรุปลงตัวแทบไม่ได้...
สำหรับอังกฤษที่เคยปิดๆ-เปิดๆ แบบกล้าๆ-กลัวๆ มาโดยตลอด แม้ผู้นำประเทศเพิ่งหายป่วยจากเชื้อ “COVID-19” มาแบบหวุดๆ หวิดๆ จะออกมาปลอบประโลมใจชาวเมืองผู้ดี ไม่ให้ “กลัวอดตาย” เพราะอาจกลับไปใช้ชีวิตตามปกติภายในไม่เกินเดือนพฤศจิกายนปีนี้ แต่สุดท้าย...ก็ยังอดห้อยท้ายเอาไว้ไม่ได้ว่า การ “กลับไปฉลองคริสต์มาส” กับครอบครัวแบบเดิมๆ เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา อาจต้อง “ทำใจ” เอาไว้ก่อนล่วงหน้า เพราะอาจเกิด “การระบาดรอบ 2” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ ไปจนถึงประเทศในตะวันออกกลางอย่างอิสราเอล...เห็นว่าเริ่มหันกลับไปปิดร้านอาหาร ปิดยิม ฯลฯ กันอีกรอบ เมื่อช่วงวันศุกร์ (17 ก.ค.) ที่ผ่านมา พร้อมส่งสัญญาณว่าอาจต้องกลับไป “ล็อกดาวน์” อะไรต่อมิอะไรตลอด “ช่วงฤดูหนาวอันยาวนาน” เอาเลยก็ไม่แน่...
แม้แต่ใกล้บ้านเราอย่างฟิลิปปินส์ ก็เริ่มกลับไป ล็อกดาวน์” ปิดบางส่วน บางพื้นที่ ในกรุงมะนิลา ครอบคลุมที่อยู่อาศัยของผู้คนจำนวนถึง 250,000 คน ไม่น้อยกว่า 2 สัปดาห์ ส่วนอินโดนีเซีย...แม้พยายามสร้างความ “กลัวผี” ด้วยการจับผู้ที่ไม่คิดใส่หน้ากากไปขังไว้ใน “บ้านผีสิง” ก็แล้ว แต่ก็ยังไม่อาจลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงไปได้กี่มาก-น้อย ยังคงเป็นประเทศอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ทำสถิติผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วย ผู้ตายสูงสุด ตามด้วยฟิลิปปินส์เป็นอันดับ 2 ขณะประเทศที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อเหลือ “ศูนย์” มานานเป็นเดือนๆ อย่างประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา เพียงแค่ “การ์ดตก” นิดเดียวเท่านั้นเอง หรือแค่เจอกับ “วีไอพี” อย่างทหารคุณ(อี)ยิปต์ และลูกสาวทูตซูดาน ก็เล่นเอาสั่นพั่บๆ ขนหัวลุก ขนคอตั้งกันไปแทบทั้งประเทศ...
อย่างไรก็ตาม...แม้ความ “กลัวเป็นโรคตาย” กับ “กลัวอดตาย” จะเป็นอะไรที่ชั่งน้ำหนักยากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แต่สำหรับความ “กลัวการฆ่ากันตาย” ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน หรือการอุบัติขึ้นมาของ “สงคราม” ณ แนวรบด้านหนึ่ง ด้านใด อันเคยเป็นจุดที่อ่อนไหว เปราะบางเอามากๆ ไม่ว่าแนวรบในยุโรปตะวันออกกลาง ไปจนถึงทะเลจีนใต้ ที่เพิ่งเกิดการยั่วยวนกวนส้นตีน ระหว่างคุณพ่ออเมริกากับคุณพี่จีน เมื่อไม่กี่วันมานี้ เอาไป-เอามาแล้ว...ออกจะลดความน่ากลัวลงไปมิใช่น้อย...
โดยแนวรบตะวันออกกลางนั้น หลังจากโฆษกพรรคร่วมรัฐบาลแห่งชาติอิสราเอล หรือพรรคลิคุด ได้ออกมาแถลงเมื่อวันอังคาร (14 ก.ค.) ที่ผ่านมา ว่าการพูดคุยเรื่อง “แผนสันติภาพ” ของอเมริกา หรือ “แผนผนวกดินแดนเวสต์ แบงก์” ของอิสราเอล คงต้องถูก “แช่แข็ง” เอาไว้ก่อน เพราะทั้งอเมริกาและอิสราเอลต่างไม่อยู่ในฐานะจะเดินหน้าแผนดังกล่าวด้วยกันทั้งคู่ หรือต่างต้องเผชิญกับความกลัวเป็นโรคตายและกลัวอดตาย จนไม่อาจสานต่อได้อย่างเป็นเรื่อง เป็นราว การ “จุดชนวนสงคราม” ในแนวรบด้านนี้ จึงน่าจะฝ่อลงไปโดยทันที ขณะที่แนวรบด้านยุโรป...การถอนทหารอเมริกันออกจากเยอรมนี จำนวนถึง 9,500 นาย ถ้าหากกำลังเหล่านี้ไม่ถูกโยกย้ายไปสร้างความเปรี้ยวเท้าให้กับรัสเซียโดยตรง หรือไปแหมะไว้ที่โปแลนด์ ก็เท่ากับว่า...แนวรบด้านยุโรปก็ยิ่งผ่อนคลายลงไปเท่านั้น...
ส่วนจะย้ายมาแถบเอเชียเพื่อยั่วยวนคุณพี่จีนกันโดยเฉพาะ ก็น่าจะ “ลำบาก” อีกนั่นแหละ เพราะไม่เพียงแต่หุ้นส่วนยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก อย่างคุณพ่ออเมริกาและอินเดีย ต่างเจอกับภาวะกลัวเป็นโรคตายและกลัวอดตายไปด้วยกันทั้งคู่ โดยต่างฝ่ายต่างไม่อาจช่วยเหลืออะไรกันได้เลย การค้า-การขายระหว่าง 2 ประเทศ ลดลงถึง 60 เปอร์เซ็นต์ภายในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แถมล่าสุด (17 ก.ค.)...ยังมี “ข่าวล่า-มาเรือ” จากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ว่าอเมริกากำลังคิดจะ “ลดกำลังทหาร” ในเกาหลีใต้ จาก 28,500 คนลงไปอีกเท่าไหร่ก็มิอาจสรุปได้ อันเนื่องมาจากการเจรจาเรียก “ค่าคุ้มครอง” ไม่ลงตัวนั่นเอง...หรือสรุปง่ายๆ ว่าบรรดา “ความกลัว” ทั้งหลายอันเนื่องมาจากเชื้อไวรัส “COVID-19” เป็นเหตุปัจจัยนั้น น่าจะก่อให้เกิด “คุณูปการ” อยู่พอสมควร คือช่วยให้เกิดแนวโน้มที่หนักไปทาง “สันติภาพ” เพราะต่างฝ่าย ต่างไม่น่าจะเหลือเรี่ยว เหลือแรง พอที่จะจุดชนวน “สงคราม” ขึ้นมาได้อีกต่อไป...