xs
xsm
sm
md
lg

สันติภาพอเมริกาจุดชนวนสงครามในตะวันออกกลาง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



วันนี้...สงสัยคงต้องชวนให้ไปแวะแถวๆ ตะวันออกกลางกันอีกสักรอบ เพราะอีกประมาณสัปดาห์นับจากนี้ หรือประมาณวันที่ 1 กรกฎาคมเป็นต้นไป มันอาจเกิดอะไรตึงตัง โครมคราม ซะยิ่งกว่าการระเบิดตูมๆ ตามๆ แถวๆ ชายแดนเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ หรือชายแดนจีน-อินเดีย ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่แน่!!! เพราะถือเป็นช่วงจังหวะ “เส้นตาย” ที่นายกรัฐมนตรีภายใต้ “รัฐบาลแห่งชาติ” ของอิสราเอล “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” ท่านกำหนดเอาไว้ว่า ได้เวลาที่จะต้องเริ่มกระบวนการ “ผนวกดินแดน” บริเวณหุบเขาจอร์แดน หรือบางส่วนของแคว้นยูเดียและสะมาเรียในอดีต หรือบริเวณพื้นที่ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ของเขต “เวสต์แบงก์” อันเคยเป็นที่อยู่ ที่อาศัยของบรรดาผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ มาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอิสราเอล ให้จงได้!!!

ทั้งนั้น ทั้งนี้...ก็โดยอาศัยความช่วยเหลือ สนับสนุนของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” นั่นเอง ที่นอกจากจะได้ลงนามประกาศรับรองอำนาจอธิปไตยของอิสราเอล เหนือที่ราบสูงโกลัน อันเคยเป็นดินแดนของประเทศซีเรีย อย่างเป็นทางการไปแล้วเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แม้ขัดกับมติสหประชาชาติ ขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศใดๆ ก็ตาม จนทุกวันนี้...พื้นที่แห่งนี้ ได้ถูกเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนาม ไปเป็น “ที่ราบสูงทรัมป์” หรือ “Ramah Trump” กันไปแทนที่ รวมทั้งรัฐบาลอิสราเอลได้เริ่มก่อตั้งชุมชนแห่งใหม่ และจัดพิธีฉลองไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่นอกเหนือไปจากนั้น...ยังแถมพยายามอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “แผนสันติภาพ” ในตะวันออกกลาง หรือ “ข้อตกลงแห่งศตวรรษ” ที่ลูกเขยชาวยิวของ “ทรัมป์บ้า” เป็นผู้จัดทำขึ้นมา ช่วยเหลือและสนับสนุนให้เกิดการผนวกดินแดนของผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ มาเป็นของอาณาจักรอิสราเอลเพิ่มเติมยิ่งขึ้นไปอีก...

ส่วนเหตุที่ผู้นำอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” ออกอาการใจกว้าง ใจดี กับประเทศอิสราเอล หรือกับนายกรัฐมนตรี “เนทันยาฮู” ในลักษณะเช่นนี้ ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าความพยายามแสดงให้บรรดาชาวยิวในอเมริกา โดยเฉพาะนักธุรกิจในวอลล์สตรีท เห็นถึงความจริงจัง จริงใจ ของตัวเอง อันจะนำไปสู่โอกาสในการคว้าชัยชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกันต่อไปอีกสมัย ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่จะถึง อีกทั้งถ้าตัวนายกรัฐมนตรีรัฐบาลเอกภาพ หรือรัฐบาลแห่งชาติ อย่าง “นายเนทันยาฮู” ที่เคยหาเสียงไว้ว่า หากมีโอกาสกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อไหร่ จะใช้เวลาแค่ไม่เกินกว่า 6 เดือน ในการผนวกหุบเขาจอร์แดนมาเป็นของอิสราเอลให้จงได้ สามารถทำสิ่งนี้ได้จริงดังที่เคยหาเสียง ก็อาจไม่จำเป็นต้องเปิดโอกาสให้ “นายกรัฐมนตรีทางเลือก” อย่างนายพล “เบนนี แกนตซ์” แห่งพรรคคู่แข่งอย่างพรรค “ฟ้า-ขาว” เข้ามาสืบทอดอำนาจต่อจากตัวเองอีกต่อไป โอกาส “ยุบรัฐบาล” หรือ “ยุบสภา” แล้วกลับไปเลือกตั้งกันใหม่อีกรอบ ตามที่มีกระแสข่าวจากสมาชิกระดับสูงของพรรค “ลิคุด” ที่ได้ออกมาปูดกับโทรทัศน์ช่อง 12 ของอิสราเอล เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ย่อมเป็นไปได้ทุกเมื่อ...

การเร่งผนวกดินแดนประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ของเขต “เวสต์แบงก์” ...อันจะส่งผลให้พื้นที่การเกษตรของบรรดาชาวปาเลสไตน์ไม่ต่ำกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ถูกยึดไปเป็นพื้นที่ในอำนาจอธิปไตยของอิสราเอล ทำให้รัฐปาเลสไตน์ ที่ไม่ว่าจะถูกเรียกว่า “ประเทศ” หรือแค่ “เขตปกครองตนเอง” ก็แล้วแต่ กลายเป็นดินแดนที่ถูกตัดขาด ตกอยู่ในวงล้อมของอิสราเอล อย่างไม่มีทางขยับไปไหนต่อไหนได้เลย ไม่อาจข้ามพรมแดนไปยังประเทศจอร์แดน หรือแม้กระทั่งเป็นทางผ่านของบรรดานักท่องเที่ยว ที่คิดจะไปเที่ยวทะเลเดดซีได้อีกต่อไป หรือย่อมหนีไม่พ้นต้องกลายสภาพเป็น “รัฐอารักขา” ของอิสราเอล โดยที่ประชาชนชาวปาเลสไตน์กว่า 70,000 ราย ที่ยังคงติดค้างอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว แทบไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองว่าจะอยู่กันแบบไหน อย่างไร ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้สิ่งที่ผู้นำอเมริกาเรียกว่า “แผนสันติภาพ” จึงอาจนำมาซึ่งความตึงตัง โครมคราม หรือก่อให้เกิดการ “จุดชนวนสงคราม” เอาง่ายๆ!!!

เพราะแม้แต่ประเทศที่เคยเงียบๆ เฉยๆ สุภาพๆ อย่าง “ราชอาณาจักรจอร์แดน” ซึ่งได้ลงนามใน “สัญญาสันติภาพ” กับอิสราเอลมาโดยตลอด แถมยังเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับคุณพ่ออเมริกาซะอีกด้วย ไม่เพียงแต่นายกรัฐมนตรี “Omar Al Razaz” ถึงกับต้องส่งจดหมายอย่างเป็นทางการไปยังรัฐบาลอิสราเอล ว่าถ้าหากยังคิดจะเดินหน้า “แผนสันติภาพ” ในแนวนี้ต่อไป ราชอาณาจักรจอร์แดนอาจต้องทบทวนความสัมพันธ์ที่เคยมีกับอิสราเอลซะใหม่ ยิ่งไปกว่านั้นประมุขประเทศอย่าง “กษัตริย์อับดุลลาห์ที่ 2” ยังได้ประทานสัมภาษณ์กับนิตยสาร “Der Spiegel” เอาไว้ก่อนหน้านี้ ประมาณว่า...การคิดผนวกดินแดนในหุบเขาจอร์แดนของอิสราเอล อาจก่อให้เกิดการปะทะขัดแย้งกับราชอาณาจักรจอร์แดนขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ และนับจากนั้น...ได้ทรงปฏิเสธการติดต่อใดๆ กับรัฐบาลอิสราเอลอย่างโดยสิ้นเชิง...

หรืออาจเรียกว่า...โลกทั้งโลกก็ว่าได้ ต่าง “ไม่เห็นควรด้วย” กับสิ่งที่รัฐบาลอเมริกันเรียกว่า “แผนสันติภาพ” แม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นประเทศอียู อังกฤษ จีน รัสเซีย อียิปต์ ซาอุดีอาระเบีย ไปจนแม้แต่สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ฯลฯ แต่ก็นั่นแหละทั้งผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” และผู้นำอิสราเอล อย่าง “เนทันยาฮู” ต่างก็มุ่งมั่น พยายาม ที่จะ “วอนทั้งโลกโขกหัวเธอ” อย่างไม่คิดจะเปลี่ยนแปรไปเป็นอื่น อันเนื่องมาจากแผนสันติภาพที่ว่านี้ อาจนำมาซึ่งโอกาสและชัยชนะการเลือกตั้งของทั้งคู่ ภายในอนาคตอันใกล้ได้นั่นเอง แนวโน้มที่จะเกิดการตึงตัง โครมครามขึ้นมาในตะวันออกกลาง จึงมีสิทธิเป็นไปได้ทุกเมื่อ นอกเสียจาก “นายกรัฐมนตรีทางเลือก” อย่างนายพล “เบนนี แกนตซ์” ที่แม้ว่าจะเป็นลูกหลานกษัตริย์ดาวิดและโซโลมอนก็ตาม แต่ยังอาจอยากเห็นสันติภาพแท้ๆ มากกว่าสันติภาพปลอมๆ ซึ่งตั้งอยู่บนผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองเป็นหลัก จะโดดเข้ามาขวางแผนการดังกล่าวซะแต่เนิ่นๆ ไม่งั้น...โอกาสที่จะตูมๆ ตามๆ หนักซะยิ่งกว่าการระเบิดสำนักงานติดต่อระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ หรือหนักกว่าการไล่ทุบ ไล่กระทืบ ระหว่างทหารจีน-ทหารอินตะระเดีย ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้สูงเอามากๆ...

แต่ถ้าหากบรรดาลูกหลานกษัตริย์ดาวิดและโซโลมอน หรือบรรดาชาวยิวทั้งหลาย เอาแต่รักผู้ที่พระเจ้าของตัวเองเลือกสรรแล้ว โดยไม่คิดจะรักผู้อื่นเอาเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้มองเห็น “ชาวปาเลสไตน์” เป็นมนุษย์มนา เป็นผู้มีสิทธิในดินแดนแห่งพันธสัญญาเช่นเดียวกับบรรดามวลมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งต่างก็เป็นผู้ที่พระเจ้าสร้างมาด้วยกันทั้งสิ้น อันนี้...โอกาสที่ “ไฟนรกสุดขอบฟ้า” จะลุกโพลงขึ้นมาอาจเป็นไปได้ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล โดยเฉพาะเมื่อ “ศัตรูคู่กัด” ของอิสราเอล อย่างขบวนการ “เฮซบอลเลาะห์” โดยตัวผู้นำอย่าง “นายHassan Nasrallah” ได้ออกมาป่าวประกาศแบบเสียงดัง-ฟังชัด เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (21 มิ.ย.) ที่ผ่านมานี่เอง ว่าด้วยการสะสม “ขีปนาวุธ” พิสัยต่างๆ เอาไว้ไม่น้อยกว่า 150,000 ลูก ขบวนการเฮซบอลเลาะห์พร้อมแล้ว!!!...ที่จะเปิดฉากสงครามรอบใหม่กับอิสราเอล แถมได้เผยแพร่คลิปวิดีโอถึงการ “ล็อกเป้าหมาย” สำคัญๆ ต่างๆ ทั้งในกรุงเทลอาวีฟ และตลอดทั่วทั้งอาณาจักรอิสราเอล รวมทั้งดินแดนปาเลสไตน์ที่ผู้นำอิสราเอลต้องการผนวกเอาไว้ด้วย...
กำลังโหลดความคิดเห็น