ว่ากันเรื่อง “คุณพ่ออเมริกา” กันมาเยอะแล้ว...วันนี้ลองเปลี่ยนบรรยากาศไปว่ากันเรื่อง 2 พี่เบิ้มแห่งเอเชีย อย่างคุณพี่จีนและคุณปู่อินตะระเดียดูมั่ง ที่ก่อนหน้านี้ไม่นาน ได้เกิดการปะทะ ขัดแย้งกันในบริเวณแนวพรมแดนเขตที่ห้ามใช้อาวุธซึ่งกันและกัน แต่กระนั้น...ทหารอินเดียยังถูกทหารจีนใช้วิชา “คว้าเงาสลับร่าง” หรือวิชา “ฝ่ามืออรหันต์” หรือไม่ อย่างไรก็แล้วแต่ เล่นงานตายไปถึง 20 ราย แถมเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จีนยังอุตส่าห์ส่งปรมาจารย์ด้านกำลังภายใน จากเสียวลิ้ม บู๊ตึง คงท้ง หัวซาน ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรก็มิอาจทราบได้ ไปฝึกลมปราณ ฝึกเคล็ดวิชา ให้ทหารจีนบริเวณแนวพรมแดนซะอีกต่างหาก...
แต่ก็นั่นแหละ...การปะทะ ขัดแย้ง การไล่ทุบ ไล่กระทืบ ระหว่างทหารทั้งสองฝ่าย ในพื้นที่พรมแดนที่ยาวเหยียดประชิดติดต่อกันถึงเกือบ 4,000 กิโลเมตร ย่อมต้องถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา หรือเป็นแค่ “ปัญหาทางเทคนิค” อะไรทำนองนั้น และเมื่อช่วงวันอาทิตย์ (5 ก.ค.) ที่ผ่านมา หลังจากมุขมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศ “นายหวัง อี้” (Wang Yi) ของจีน ได้ยกหูโทรศัพท์ไปเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ กับที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของอินเดีย “นายอาจิต โดวาล” (Ajit Doval) ความขัดแย้งในกรณีดังกล่าว ก็ดูจะคลี่คลายลงไปเยอะ หรือคงไม่มีใครคิดลงมือ ลงตีน ระหว่างกันและกันอีกต่อไปแล้ว...
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า...ทั้งสองพี่เบิ้มแห่งเอเชียจะเริ่มหวนกลับมา “จูบปาก”ระหว่างกันและกันก็หาไม่!!! ตรงกันข้าม...การลงมือ ลงตีน การไล่ทุบ ไล่กระทืบ กันในเรื่องอื่นๆ หรือเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องใช้มือ ใช้ตีน แต่ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ นานา ไม่ว่าในทางการเมือง เศรษฐกิจ สาดซัดใส่กันและกัน กลับเป็นอะไรที่น่าห่วง น่ากังวล และน่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และอาจก่อให้เกิดผลกระทบลุกลาม แผ่ซ่านไปถึงบรรดาประเทศในเอเชียด้วยกัน ให้ต้องเจอกับภาวะ “ช้างสารชนกัน...หญ้าแพรกย่อมแหลกราญ” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้...
เพราะล่าสุด...รัฐบาลอินเดียก็ได้ออกมาตรการคุมเข้มสินค้านำเข้าจาก 3 ประเทศ อันประกอบไปด้วยบังกลาเทศ ศรีลังกา และเกาหลีใต้ ว่าจะมีการสอดแทรกนำเอา “สินค้าจีน” ประเภทที่รัฐบาลอินเดียเพิ่งกีดกัน ป้องกัน แอบเข้ามาด้วยหรือเปล่า??? อันเนื่องมาจากก่อนหน้านั้น อะไรก็ตาม...ที่ออกไปทาง “เมด อิน ไชน่า” ต่างถูกรัฐบาลอินเดียกีดกัน ป้องกันตามเสียงเรียกร้องกดดันของบรรดาชาวอินตะระเดียจำนวนไม่น้อย ที่ยังไม่หายแค้นจากกรณีทหารอินเดียถูกทหารจีนเลียะพะตายไปนับสิบๆ ราย บรรดาแอปพลิเคชั่นโทรศัพท์มือถือของจีนถึง 59 รายการ ไม่ว่าติ๊กต๊ง ติ๊กต๊อก (TikTok) อะไรก็ตาม ถูกสั่งห้าม หรือถูก “แบน” กันไปเป็นแถบๆ ถึงขั้นรัฐบาลท้องถิ่นในรัฐอุตตรประเทศ ประกาศแจกหน้ากากอนามัยฟรีๆ สำหรับชาวอินเดียรายใดก็ตามที่ยินยอมพร้อมใจ “ดีลีท” แอปพลิเคชั่นของจีนออกจากโทรศัพท์มือถือ แม้ยังไม่มีรายงานเป็นที่แน่ชัด ว่าหน้ากากอนามัยที่แจกฟรีนั้น เอาไป-เอามา...ดัน “เมด อิน ไชน่า” ไปด้วยอีกหรือไม่???
คือพูดง่ายๆ ว่า...แม้ความขัดแย้งบริเวณแนวชายแดนระหว่างจีน-อินเดียนั้น อาจถือเป็นเรื่องเล็ก หรือเรื่อง “หิดหุ้ย” ทำนองนั้น แต่สำหรับเรื่อง “เศรษฐกิจ” หรือเรื่องการค้า-การขายระหว่างจีนกับอินเดียนี่สิ!!! ออกจะเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬาร และเป็นอะไรที่แก้ยาก แก้เย็นยิ่งกว่าเรื่องชายแดนไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า เพราะแม้จะโดยสภาวะความเป็นไปตามปกติก็ตาม การที่ตัวเลขสินค้านำเข้าจากจีนไปยังอินตะระเดีย จากปี ค.ศ. 2000 ที่เคยอยู่ที่ประมาณ 1,300 ล้านดอลลาร์ แต่ผ่านไปแค่เกือบ 2 ทศวรรษเท่านั้น หรือเมื่อช่วงปี ค.ศ. 2019 ตัวเลขสินค้านำเข้าจากจีนเข้าไปยังอินเดีย มันเพิ่มกันแบบพรวดๆ พราดๆ ระเบิดเถิดเทิงไปถึง 70,000 ล้านดอลลาร์เป็นอย่างน้อย หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 6 เท่า 7 เท่า...
ไล่มาตั้งแต่สินค้าประเภทของเล่นเด็ก ของเล่นอิเล็กทรอนิกส์ ไฟประดับเทศกาล แอปพลิเคชั่นโทรศัพท์มือถือ ฯลฯ ไปจนกระทั่งรูปเทวดา พระเจ้า ในศาสนาฮินดู ที่มีอยู่นับพันๆ ล้านองค์นั้น ล้วนแต่ถูกเสกสรรปั้นแต่ง ประดิษฐ์คิดค้น โดย “เมด อิน ไชน่า” แล้วส่งเข้ามาตีตลาดอินเดีย ซะจนกระจุยกระจายไปเป็นแถบๆ เรียกว่า...ดีไม่ดี ป้ายประท้วง เสื้อยืดประท้วง ให้ “บอยคอต” สินค้าจีน อาจถูกผลิตขึ้นมาในเมืองจีนเอาเลยก็ไม่แน่ ด้วยเหตุเพราะความเป็นสินค้าดีมีคุณภาพ แถมยังราคาถูก เลยทำให้สินค้าอย่างโทรศัพท์มือถือของจีน ไม่ว่า “เสียวหมี่” “ออปโป” “วีโว” ฯลฯ กลายเป็นตัวเล่นงานโทรศัพท์มือถืออินตะระเดีย ไม่ว่า “ไมโครแมค” “ไอบอล” “ลาวา” ฯลฯ ชนิดขายไม่ออกเอาดื้อๆ ขณะที่บริษัทธุรกิจของจีนได้เข้าไปลงทุนกิจการต่างๆ ในอินเดียแบบไม่เว้นแต่ละวัน แม้แต่บริษัทส่งอาหารจานด่วนของอินเดีย ยังถูกบริษัทจีนอย่าง “อาลีบาบา” “เทนเซ็นต์” ฯลฯ ดอดเข้าไปถือหุ้น ไปลงทุนในธุรกิจประเภทสตาร์ทอัพไม่น้อยกว่า 5,800 ล้านดอลลาร์เอาเลยถึงขั้นนั้น...
กระทั่งธนาคารจีน อย่าง “People’s Bank of China” ยังโดดเข้าไปถือหุ้นบริษัทสินเชื่อการเคหะอันดับ 1 ของอินเดีย อย่างบริษัท “Housing Development Finance Corp.” ถึงประมาณ 1.01 เปอร์เซ็นต์ จนทำให้...อีนี่ แขกอดที่จะตกกะใจไม่ได้นะนายจ๋า!!! หรือทำให้รู้สึกว่าอะไรมันจะนาร๊าย นายรายณ์ ไปได้ถึงปานนั้น การปะทะ ขัดแย้ง ต่อต้าน กีดกัน ไม่ว่าทางการค้า การลงทุนจากจีน ในหมู่ชาวอินเดียรวมทั้งรัฐบาลอินเดีย จึงมีมาก่อนหน้าการปะทะขัดแย้งระหว่างทหารอินเดีย-ทหารจีน บริเวณแนวชายแดน ไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีมาแล้ว เรียกว่า...ถึงขั้นบรรดาพ่อค้าอินตะระเดีย อย่าง “สหพันธ์ผู้ค้าขายทั้งมวล”(Confederation of All India Traders) ต้องออกมาปลุกระดม เรียกร้องให้รัฐบาลและประชาชนชาวอินเดีย หันมา “บอยคอต” สินค้าจีนกันโดยตลอด...
และยิ่งเมื่อ “เศรษฐกิจอินเดีย” ดันต้องเจอกับการแพร่ระบาดของไวรัส “Kung Flu” หรือ “COVID-19” เข้าไปอีกแบบเต็มๆ เนื้อๆ จนกลายเป็นประเทศที่คว้าเหรียญทองแดง หรือคว้าตำแหน่งผู้ติดเชื้ออันดับ 3 ของโลก ตามหายใจรดต้นคอบราซิลและคุณพ่ออเมริกามาติดๆ การหาทางออก ทางรอด ในทางเศรษฐกิจ จึงหนีไม่พ้นต้องหันมา “เล่นงานจีน” ไว้ก่อนนั่นแหละ เป็นอันดับแรกไม่ว่าในแง่การปกป้อง ช่วยเหลือ บรรดาบริษัทธุรกิจในอินเดีย สินค้าอินเดีย ที่ถูกสินค้าจีนตีตลาดมานานแล้ว ไปจนการหาช่อง หาโอกาสที่จะอาศัยความขัดแย้งระหว่าง “อเมริกากับจีน” ที่ทำสงครามทางการค้ากันจนกลายสภาพเป็น “สงครามเย็นยุคใหม่” ไปแล้วทุกวันนี้ ดึงเอาผลประโยชน์ต่างๆ นานา เข้ามายังประเทศตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้...
แต่ก็นั่นแหละ...ความพยายามดึงเอาอเมริกามาเป็นตัวเสริมสร้างผลประโยชน์ให้ตัวเอง มันคงไม่ได้มาแต่เฉพาะเงินๆ-ทองๆ หรือการค้า การขาย เพียงลูกเดียวล้วนๆ แต่กำลังทำให้อินเดียทั้งประเทศ กลายเป็นส่วนหนึ่งของ “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” ที่คุณพ่ออเมริกาท่านประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมา เพื่อเล่นงานจีนกันโดยเฉพาะ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ และทำให้อินเดียทุกวันนี้...ไม่เพียงแต่จะประกาศตัดขาดความร่วมมือกับจีนและบรรดาประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก ในข้อตกลงเขตการค้า “RCEP” (Regional Comprehensive Economic Partnership) ไปเรียบร้อยแล้ว ยังหันไปประกาศความร่วมมือทางทหารกับออสเตรเลีย เข้าร่วมเป็นพันธมิตรด้านข่าวกรองกับอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อังกฤษ ที่ถูกเรียกขานกันในนาม “Five Eyes network” อันถือเป็นกลุ่มพันธมิตรที่พยายามต่อต้านและปิดล้อมจีนมาโดยตลอด ฯลฯ...
และด้วยภายใต้ท่าทีเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้ล่าสุด หัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาว “นายMark Meadows” จึงได้ออกมาแถลงหลังการพูดคุยระหว่างรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอเมริกา “นายไมค์ ปอมเปโอ” กับรัฐมนตรีกิจการภายนอกอินเดีย “นายS. Jaishankar” ว่าสหรัฐฯ พร้อมที่จะให้การสนับสนุนทางทหารต่ออินเดีย สำหรับกรณีปัญหาความขัดแย้งทางพรมแดนกับจีน ว่าแล้ว...เรือบรรทุกเครื่องบิน 3 ลำซ้อนๆ ของอเมริกา เรือรบอีกเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ของกองเรือทั้งหมด และทหารอเมริกันอีกเป็นกะบิ ถูกสั่งการให้เคลื่อนเข้ามายังน่านน้ำทะเลจีนใต้ อย่างชนิดไม่เคยมีมาก่อน หรือถือเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี นับจากรัฐบาล “โอบามา” เคยพยายาม “ปักหมุดในเอเชีย” ด้วยการแสดงแสนยานุภาพทางทหารของอเมริกาในปฏิบัติการเสรีภาพเพื่อการเดินเรือ หรือ “Freedom of navigation operation-FONOPs” ในย่านนี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง...เลยเป็นอันร้อนฉ่า!!! ขึ้นมาโดยฉับพลัน-ทันที...