xs
xsm
sm
md
lg

ทำไม ‘อินเดีย’จะไม่ตอบโต้แก้แค้นด้วยการ ‘แบน’ สินค้าจีน?

เผยแพร่:   โดย: สุมิต ชาร์มา


พวกผู้สนับสนุนพรรคคองเกรสของอินเดียตะโกนคำขวัญ ขณะรวมตัวกันรอบๆ ผืนผ้าที่วาดเป็นกรอบโครงแผนที่ประเทศจีนพร้อมกับเขียนข้อความให้ “คว่ำบาตรสินค้าเมดอินไชน่า” ก่อนที่จะเผาผ้าผืนนี้ ระหว่างการชุมนุมเดินขบวนต่อต้านจีน ในเมืองโกลกาตา (กัลกัตตา) เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ WWW.asiatimes.com)

Why India won’t retaliate against China
by Sumit Sharma
18/06/2020
นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ถูกกดดันด้วยกระแสประท้วงของผู้คนและนักการเมืองในอินเดีย ให้ประกาศมาตรการตัดลดจำกัดการค้าและการพาณิชย์ เพื่อตอบโต้แก้เผ็ดต่อการที่ทหารจีนเข่นฆ่าสังหารทหารอินเดียไป 20 คน ทว่าในทางเป็นจริงแล้ว หากใช้มาตรการเช่นนี้กลับจะสร้างความลำบากเดือดร้อนให้แก่นิวเดลีมากกว่าปักกิ่ง

ความสัมพันธ์ทางการค้าและการพาณิชย์ระหว่างอินเดียกับจีนที่กำลังเติบโตขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ไม่เคยถูกกรณีพิพาทขัดแย้งทางพรมแดนระหว่างประเทศทั้งสอง เข้ามาสร้างความยุ่งยากวุ่นวาย ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา

แต่การที่จีนสังหารทหารอินเดียไป 20 คนในสัปดาห์นี้ ระหว่างการทะเลาะกันเกี่ยวกับชายแดนเทือกเขาหิมาลัย อาจบีบบังคับให้นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ต้องประกาศใช้มาตรการลงโทษคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเป็นการแก้เผ็ด ในขณะที่กระแสความโกรธเกรี้ยวของประชาชนและแรงบีบคั้นทางการเมืองเพิ่มทวีขึ้นเพื่อให้มีการตอบโต้อย่างหนักแน่นสาสม

อินเดียนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มสูงขึ้นสู่ระดับ 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2019 นับเป็นการกระโจนพรวดอย่างมโหฬารทีเดียวจากระดับแค่เพียง 1,300 ล้านดอลลาร์เมื่อย้อนหลังไปถึงปี 2000 เราพอจะนึกภาพออกมาได้ว่ารัฐบาลโมดีอาจจะต้องออกคำสั่งให้พวกบริษัทอินเดียจำกัดเข้มงวดการลงทุนของจีน รวมทั้งเรียกร้องสนับสนุนให้พลเมืองหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ของจีน

แต่การที่จีนเวลานี้สามารถลงหลักปักฐานมั่นคงในหลายๆ ตลาดหลากหลายของอินเดียด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีราคาต่ำ ย่อมหมายความว่าความเคลื่อนไหวใดๆ ก็ตามในลักษณะเช่นนั้นจะกระทบกระเทือนผู้บริโภคชาวอินเดีย ในเวลาที่เศรษฐกิจแดนภารตะก็อยู่ในภาวะเลวร้ายย่ำแย่อยู่แล้ว สืบเนื่องจากวิกฤตการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ภายหลังเกิดเหตุการณ์ทหารจีนเปิดการโจมตีแบบฝ่ายแดนภารตะไม่ทันระวังตั้งตัว จนทำให้มีทหารอินเดียอย่างน้อยที่สุด 20 ปีถูกสังหารด้วยอาวุธที่ทำขึ้นอย่างหยาบๆ และแม้กระทั่งด้วยก้อนหิน รัฐบาลโมดีเวลานี้กำลังเคลื่อนไหวเพื่อจำกัดลดทอนการใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีของจีนในด้านต่างๆ ที่ถือว่ามีความอ่อนไหว

รายงานข่าวของสื่อหลายรายบ่งชี้ว่า มาตรการจำกัดลดทอนเช่นนี้ยังอาจขยายออกไปให้พวกบริษัทที่รัฐเป็นผู้ดำเนินงานแห่งอื่นๆ และกระทั่งพวกบริษัทเอกชนของอินเดีย ปฏิบัติตามด้วย รวมทั้งอาจจะมีการจำกัดการนำเข้าสินค้ารายการที่ไม่ได้มีความสำคัญหรือมีความจำเป็นอะไร

หนังสือพิมพ์อีโคโนมิกไทมส์ (Economic Times) รายงานว่า รัฐบาลได้แจ้งกับบริษัทภารัต สันชาร์ นิกัม (Bharat Sanchar Nigam Ltd) รัฐวิสาหกิจด้านสื่อสารโทรคมนาคมว่า อย่าใช้อุปกรณ์ของจีนในการปรับปรุงยกระดับเครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ระบบ 4จี ของบริษัทให้ทันสมัย รวมทั้งยังกำลังพิจารณาปรับใช้ระเบียบกฎเกณฑ์ที่จะมีผลเป็นการกีดกันขัดขวางการที่พวกผู้ดำเนินกิจการสื่อสารโทรคมนาคมในภาคเอกชนจะใช้เครื่องมืออุปกรณ์เทเลคอมซึ่งผลิตในจีน

ด้วยจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้งานมากกว่า 1,000 ล้านราย เวลานี้อินเดียมีฐานะเป็นตลาดโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ผู้ใช้ส่วนใหญ่เป็นพวกที่ใช้ข้อมูลมากกว่าการติดต่อสื่อสาร การที่อุตสาหกรรมต่างๆ แทบทุกแขนงกำลังมีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบดิจิตอลกันมากขึ้นทุกที กำลังกลายเป็นเรื่องทรงความสำคัญยิ่งยวดสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และบริษัทอินเดียทั้งหลายก็กำลังเตรียมตัวด้วยความฉับไวสำหรับต้อนรับระบบต่างๆ ของเจเนอเรชั่นหน้า

กระนั้นก็ตาม ตลาดนี้ก็ถูกครอบงำด้วยพวกผู้ผลิตสมาร์ตโฟนสัญชาติจีน เป็นต้นว่า เสี่ยวมี่, ออปโป, และ วีโว ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายมือถือรุ่นที่ขายได้อย่างรวดเร็วที่สุด ส่วนแบ่งตลาดของพวกผู้ผลิตโทรศัพท์สัญชาติอินเดีย อย่างเช่น ไมโครแมกซ์ (Micromax), ไอ-บอลล์ (I-Ball), และ ลาวา (Lava) ได้หดตัวลดต่ำลงมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เช่นเดียวกับของ ซัมซุง และเจ้าที่เคยเป็นผู้นำตลาดโลกในสมัยก่อนอย่าง โนเกีย

ทางด้านหนังสือพิมพ์ฮินดูสถานไทมส์ (Hindustan Times) รายงานว่า หน่วยข่าวกรองอินเดียได้ส่งสัญญาณเตือนภัยการใช้แอปป์มือถือที่เชื่อมโยงกับจีนเป็นจำนวน 52 แอปป์ รายการเหล่านี้มีทั้ง ซูม แอป์วิดีโอคอนเฟอเรนซ์, ติ๊ก-ต็อก แอปป์วิดีโอสั้นๆ, และอื่นๆ เป็นต้นว่า Xender, SHAREit, Shein, และ Clean-Master

เมื่อเดือนเมษายน อินเดียได้ประกาศมาตรการจำกัดพวกประเทศที่มีชายแดนทางบกติดต่อกับอินเดีย ซึ่งในนี้รวมทั้งจีนด้วย ไม่ให้ลงทุนในหุ้นของบริษัทท้องถิ่นของแดนภารตะถ้าหากไม่ได้รับอนุญาต เรื่องนี้ออกมาหลังจากธนาคารประชาชนแห่งประเทศจีน (People’s Bank of China) เข้าถือหุ้นจำนวน 1.01% ของบรรษัท เฮาซิ่ง ดีเวลอปเมนต์ ไฟแนนซ์ คอร์ป (Housing Development Finance Corp.) ซึ่งเป็นหมายเลขหนึ่งทางด้านสินเชื่อเคหะของอินเดีย ขณะที่ผู้ลงทุนอื่นๆยังคงไม่ต้องขออนุมัติจากรัฐบาลก่อนทำการลงทุน

ข้อมูลของ เวนเจอร์ อินเทลลิเจนซ์ (Venture Intelligence) ซึ่งตั้งฐานอยู่ที่เมืองเจนไน (มัทราส) แสดงให้เห็นว่า พวกบริษัทจีนได้ลงทุนเป็นจำนวนรวม 5,800 ล้านดอลลาร์ในกิจการสตาร์ตอัปทางเทคโนโลยีของอินเดีย นอกจากนั้น นักลงทุนชาวจีนซึ่งก็รวมถึงกิจการยักษ์ใหญ่อย่าง อาลีบาบา และ เทนเซนต์ ยังได้ลงทุนในพวกบริษัทให้บริการส่งอาหาร อย่าง Swiggy, Zomato, และ Big Basket

จากข้อมูลของ เวนเจอร์ อินเทลลิเจนซ์ ยังแสดงให้เห็นว่า อาลีบาบา, เทนเซนต์, ชุนเว่ย แคปิตอล (Shunwei Capital), ฮิลล์เฮาส์ แคปิตอล (Hillhouse Capital), และ ฝอซัน กรุ๊ป (Fosun Group) อยู่ในกลุ่มนักลงทุนจีนที่มีความกระตือรือร้นเข้าลงทุนในกิจการสตาร์ตอัปของอินเดียมากที่สุด

เป็นเรื่องลำบากยากเย็นทีเดียวที่จะจำกัดการลงทุนเช่นนี้ในโลกที่โลกาภิวตน์และการบูรณาการกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้ รวมทั้งยังจะเป็นการส่งข้อความออกไปว่า อินเดียไม่มีความยินดีต้อนรับการลงทุนจากจีน

อินเดียกำลังเป็นตลาดที่สุกงอมเจริญเติบโตเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับจีน เนื่องจากตั้งแต่เริ่มต้นสหัสวรรษนี้เป็นต้นมา อินเดียได้ผลักดันเดินหน้าสู่การเจริญเติบโต ภายหลังการปฏิรูปทางเศรษฐกิจที่ดำเนินมายาวนานหลายทศวรรษเริ่มต้นที่จะสร้างผลกระทบปรากฏให้เห็นกัน

ขณะที่จีนเป็นซัปพลายเออร์รายสำคัญของพวกวัตถุดิบซึ่งมีความสำคัญยิ่งยวดหลายหลากประเภท เป็นต้นว่า เคมีภัณฑ์, เหล็กกล้า, และยางรถ โดยที่อินเดียต้องใช้วัตถุดิบเหล่านี้ในอุตสาหกรรมการผลิตของตน นอกจากนั้นจีนยังเป็นผู้ผลิตพวกส่วนผสมของยารายใหญ่ที่สุดของโลกอีกด้วย

จากราคาที่ต่ำและปริมาณที่มีมาก ทำให้จีนกลายป็นแหล่งส่วนผสมทางเภสัชกรรมซึ่งมีเสน่ห์ดึงดูดใจสำหรับพวกผู้ผลิตยาสัญชาติอินเดีย ซึ่งได้นำสินค้ายาที่พวกตนผลิตได้จำหน่ายออกไปอย่างกว้างขวางตลอดทั่วโลก มีเสียงเสนอแนะจากบางฝ่ายว่า รัฐบาลอินเดียอาจต้องตัดสินใจริเริ่มพวกมาตรการที่จะส่งเสริมจูงใจอุตสาหกรรมท้องถิ่นให้เริ่มต้นดำเนินการผลิตพวกส่วนผสมของยากันได้แล้ว

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ผู้บริโภคราคาถูกๆ ของจีนได้เข้าท่วมท้นตลาดต่างๆ ของอินเดีย และขับไสแบรนด์ท้องถิ่นทั้งหลายจนอยู่กันไม่ได้ สินค้าเหล่านี้มีตั้งแต่ไฟประดับในเทศกาลดิวาลี (Diwali lights), รูปพระเจ้าต่างๆ ในศาสนาฮินดู, ของเล่นเด็ก, ของเล่นอิเล็กทรอนิกส์, และแอปป์สำหรับโทรศัพท์มือถือ แล้วยังมีอย่างอื่นๆ อีกเยอะแยะมากมาย

ในอีกด้านหนึ่ง ทางสมาพันธ์ผู้ค้าชาวอินเดียทั้งมวล (Confederation of All India Traders) ซึ่งตั้งฐานอยู่ที่นิวเดลี ก็ได้ออกมาปลุกเร้าให้ต่อต้านคว่ำบาตรผลิตภัณฑ์จากประเทศจีนเช่นเดียวกัน สมาพันธ์ยังได้จัดทำบัญชีรายชื่อผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากจีนรวม 450 รายการซึ่งพวกเขาต้องการให้สั่งแบน ส่งให้แก่ทางรัฐบาลด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น