เห็นภาพฝูง “ตั๊กแตนทะเลทราย” นับพันๆ ล้านตัว...ยกทัพโยธาบินจากเมือง “คุรุคราม” (Gurugram) พื้นที่อาณาบริเวณศูนย์กลางอุตสาหกรรมและการค้าของอินตะระเดีย ห่างจากเมืองหลวงไปแค่ประมาณ 30 กิโลเมตร จนท้องฟ้าทั่วกรุงนิวเดลีแทบมืดสนิท ต้องเรียกว่า...ออกจะเป็นอะไรที่นาร๊าย...นารายณ์!!! เป็นอะไรที่น่าขนลุก ขนพอง น่าสยดสยองเอามากๆ ให้อารมณ์-ความรู้สึกปานประดุจใกล้ๆ วันสิ้นยุค สิ้นโลก อะไรประมาณนั้น...
คือแค่เจอเชื้อไวรัสเมืองจีน เชื้อ “Kung Flu” หรือเชื้อโคโรนาไวรัส “COVID-19” ก็แล้วแต่จะเรียก...อีนี่ แขกก็มีแต่ตายกับตายกันไปแล้วนะนายจ๋า!!! จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมที่ปาเข้าไปถึง 529,577 ราย ตามตัวเลขสถิติช่วงวันอาทิตย์ (28 มิ.ย.) ที่ผ่านมา จนผงาดขึ้นเป็นประเทศอันดับ 4 ของโลก แถมจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นแต่ละวัน ยังทำท่าว่ากำลังสูงไปกว่าอันดับ 3 อย่างรัสเซีย และอันดับ 5 อย่างอังกฤษ แบบชนิดไม่เห็นฝุ่น เห็นหาง คือขณะรัสเซียเริ่มลดๆ การติดเชื้อในแต่ละวัน อยู่ที่ 6,852 ราย อังกฤษลดเหลือ 890 ราย จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ของอินเดีย กลับพุ่งโด่งไปถึง 20,131 ราย เอาเลยถึงขั้นนั้น...
แต่นี่...ยังต้องเจอกับฝูงตั๊กแตน ที่ยกพหลพลโยธาบุกเข้ามายังรัฐต่างๆ ของอินเดียถึง 7 รัฐด้วยกัน ไม่ว่าแถบภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันตก โชคดีอยู่บ้างเล็กน้อย ที่ช่วงระหว่างนี้เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างฤดูเก็บเกี่ยวกับฤดูเพาะปลูก แต่ถึงกระนั้นบรรดาพืชพันธุ์ธัญญาหารในช่วงฤดูร้อนของอินเดีย ยังไงๆ...คงต้องเสียหาย ต้องพังพินาศกันไปมิใช่น้อย ความทุกข์ ความโศก ความอดอยาก ไปจนถึงความรวย-ความจน ฯลฯ น่าจะส่งผลให้พี่เบิ้มแห่งเอเชีย ผู้ถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมให้กับเอเชียทั้งเอเชียรายนี้ หมดเรี่ยว หมดแรงลงไปพอสมควร โอกาสที่จะรื้อฟื้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ไปจนรื้อฟื้น “ชาตินิยมฮินดู” ตามแนวทางของพรรค “ภารติยะ ชนะตะ” หรือตามแบบฉบับของนายกรัฐมนตรี “นเรนทรา โมดี” ย่อมเป็นอะไรที่น่าจะลำบากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
โดยคงต้องยอมรับนั่นแหละว่า...พรรครัฐบาลอย่างพรรค “ภารติยะ ชนะตะ” ของนายกรัฐมนตรี “โมดี” นั้น ออกจะสร้างชื่อ สร้างเสียง สร้างคะแนนนิยม ด้วยการอาศัยอารมณ์-ความรู้สึกในเรื่อง “ชาตินิยม” ของบรรดาชาวอินเดีย หรือชาวฮินดู มาโดยตลอด หรืออาศัย “ศัตรูภายนอก” มาช่วยสร้างคะแนนนิยม จากผู้คนภายในประเทศ ได้อย่างเป็นเนื้อ เป็นหนัง ไม่ว่าการถล่มเมืองต่างๆ ในประเทศปากีสถานระหว่างการหาเสียง การออกกฎหมายสิทธิพลเมืองที่ทำให้บรรดาชาวมุสลิมในอินเดียแทบอ้วกแตกอ้วกแตนไปทั้งประเทศ ฯลฯ ยิ่งเมื่อเจอกับปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาเชื้อโรค จนหาทางออก ทางไป แทบไม่ได้ ความพยายามหันไปในอาศัยปัจจัยภายนอก หรืออาศัย “วิเทโศบายต่างประเทศ” เป็นตัวแก้ปัญหา หรือเป็น “ทางรอด” ของประเทศและของรัฐบาล จึงเป็นสิ่งที่พอเข้าใจได้ ว่าทำไมถึงกับการทะเลาะเบาะแว้ง ระหว่างเพื่อนบ้านชาวเอเชียด้วยกัน อย่าง “อินเดียกับจีน” ถึงได้เปรี้ยงๆ ปร้างๆ ดังระเบิดเถิดเทิง ขึ้นมาในช่วงนี้...
หรือเกิดการลงมือ ลงตีน ระหว่างทหารอินเดียกับทหารจีน ในพื้นที่ชายแดนตลอดแนวระยะห่างประมาณ 2 กิโลเมตร บริเวณหุบเขา “กาลวาน” (Galwan) เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แม้ถือเป็นพื้นที่ข้อตกลง “ห้ามใช้อาวุธ” ระหว่างสองประเทศ แต่ทั้งทหารจีนและทหารอินเดีย ยังอุตส่าห์คว้าท่อนเหล็ก คว้าก้อนหิน ออกมาไล่ขว้าง ไล่ทุบ ไล่ตี ไล่กระทืบ ชนิดตายไปเป็นสิบๆ รายจนได้ ล่าสุด...เห็นว่า ถึงขั้นทางการจีนต้องส่ง “ปรมาจารย์” วิชาศิลปะป้องกันตัว จากวัดเสี้ยวลิ้มยี่ คงท้ง บู๊ตึ๊ง หัวซาน ฯลฯ หรือที่ไหนต่อที่ไหนก็มิอาจสรุปได้ จำนวนประมาณ 20 ราย ไปยังกรุงลาซาเขตปกครองทิเบต เพื่อไปฝึกเคล็ดวิชาลมปราณ จี้สกัดจุด ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ ให้ทหารจีนเป็นการเฉพาะ เอาไว้สู้กับทหารอินตะระเดียที่ออกจะแข็งแกร่ง แข็งแรง อันเนื่องมาจากการบริโภคโรตีและมะตะบะมาโดยตลอด...
แต่เอาเป็นว่า...โดยสรุปรวมความแล้ว การหันไปอาศัย “วิเทโศบายต่างประเทศ” เป็นทางออก ทางรอด ของรัฐบาลอินเดียแห่งพรรค “ภารติยะ ชนะตะ” นั้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ค่อนข้างหนักไปทางความพยายามโผไปหา “คุณพ่ออเมริกา” นั่นแหละเป็นหลักเพราะหลายๆ ท่าทีหลายๆ นโยบายของอินเดียในช่วงนี้ ออกจะเป็นอะไรที่ “แปร่ง” เอามากๆ ไม่ว่า...การเริ่มหันไปฟื้นสัมพันธภาพกับรัฐบาลไต้หวัน อย่างเป็นเรื่อง เป็นราว การเพิ่มความเข้มงวดกับการลงทุนของบริษัทธุรกิจจีนในอินเดีย การเห็นดี-เห็นงามกับข้อเสนอของคุณพ่ออเมริกา ที่จะให้เร่งปรับโครงสร้างองค์กรระหว่างประเทศ อย่างองค์การอนามัยโลก หรือ “WHO” การสนับสนุนให้จัดตั้งคณะกรรมการระหว่างประเทศ เพื่อสืบสวน สอบสวน หาต้นตอการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” ว่าจะเป็นเชื้อ “Kung Flu” ที่หลุดออกมาจากห้องแล็บเมืองอู่ฮั่น หรือไม่ อย่างไร? ไปจนถึงการป่าวประกาศข้อตกลงความร่วมมือทางทหารกับประเทศออสเตรเลีย ตามแนวทาง “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” ของคุณพ่ออเมริกาแบบเป๊ะๆๆ ฯลฯ ฯลฯ...
อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้สัมพันธภาพระหว่าง 2 พี่เบิ้มแห่งเอเชียในช่วงระหว่างนี้ มันจึงออกจะร้อนๆ อย่างเป็นพิเศษและอาจส่งผลลุกลามไปถึงบรรดาประเทศเล็ก ประเทศน้อย ในภูมิภาคนี้ ให้ต้องเกิดอาการวูบๆ วาบๆ หนาวๆ ร้อนๆ ตามไปด้วยอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ทั้งๆ ที่ไม่ว่า “อินเดีย” หรือ “จีน” ต่างต้องถือเป็นผู้ที่มีคุณูปการเอามากๆ ต่อบรรดาประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย ไม่ว่าในแง่แนวคิด ทัศนคติ ศิลปะ วัฒนธรรมประเพณี ฯลฯ มานับตั้งแต่อดีต การหันมาฉะกันเองของ 2 พี่เบิ้มในเอเชียนอกจากไม่ได้ก่อให้เกิดผลในเชิงสร้างสรรค์ใดๆ ขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ยังก่อให้เกิด “อันตราย” ต่อสันติภาพ เสถียรภาพความมั่นคงของประเทศต่างๆ ในเอเชีย รวมทั้งจีนและอินเดียเองด้วย...
ดังนั้น...การที่ “ฝูงตั๊กแตนทะเลทราย” นับจำนวนพันๆ ล้าน แห่กันบินเข้าไปในอินเดียช่วงนี้ จึงอาจถือเป็นการ “ส่งสัญญาณ” บางอย่างก็อาจเป็นได้ เหมือนอย่างที่บทบรรณาธิการของสื่อทางการจีน “Global Times” เขาสรุปเอาไว้ในข้อเขียน บทความ เมื่อช่วงวันที่ 28 มิถุนายน ที่ผ่านมานั่นแหละว่า “Locust plague shows India can’t bear trade war with China” หรือการเจอเข้ากับ “ฝูงตั๊กแตน” เข้าอีกดอก นอกเหนือไปจากเชื้อไวรัส “COVID-19” แล้ว น่าจะทำให้อินเดียต้องหันมาแก้ปัญหาตัวเองมากกว่าที่จะมีเรี่ยว มีแรง ไปสร้างปัญหาให้ใครต่อใครต้องคอยแก้อีกต่อไป หรืออย่างที่นักคิด นักเขียน ระดับอาจารย์พิเศษด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการทูต มหาวิทยาลัยตรีภูวัน กาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล ผู้มีนามว่า “ภิม ภูรเตล” (Bhim Bhurtel) ได้ให้ข้อคิด ข้อสังเกต ที่น่าสนใจเอามากๆ ในข้อเขียน บทความ เรื่อง “India paying price for Modi’s myopic China strategy” ซึ่งเว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮา ได้นำมาแปลและถ่ายทอด ไว้เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา ด้วยข้อสรุปประมาณว่า อินเดียคงต้อง “จ่ายแพง” เอามากๆ สำหรับวิสัยทัศน์หรือวิชั่นที่ออกไปทาง “วิสั้น” ซะเป็นหลัก นั่นคือการโผไปหาคุณพ่ออเมริกา ที่กำลังใกล้เจ๊งเต็มที ด้วยการหันมาทะเลาะกับจีน ซึ่งกำลังใกล้ผงาดขึ้นเป็นผู้นำโลกในอีกไม่นาน-ไม่ช้า...