“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
“มรดกมาร” ไทยแลนด์แดนสยาม คือ “รัฐบาลเลือกตั้ง” โกงชาติ ถูกใช้เป็นข้ออ้างหลักในการ “ทำรัฐประหาร” ชาติไทยเลยกลายเป็น “วงจรอุบาทว์ทางการเมือง” ที่มาพร้อม “สมบัติชาติผลัดกันโกง” ซ้ำซาก..!
รัฐบาล “นายกฯ พล.อ.ชาติชาย” “อาจารย์ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ”กับทีมงานที่ปรึกษา “บ้านพิษณุโลก” ได้ผลักดันหลายเรื่องอันดีงามให้เป็น “มรดกชาติ” บางเรื่องสำเร็จในยุคนั้นเลย อีกหลายเรื่องมาสำเร็จในรัฐบาลยุคหลัง เช่น เรื่อง “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ที่สำเร็จในเบื้องต้น กับการผลักดันกฎหมายสำคัญหลายเรื่อง อาทิ
“พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” แก่ผู้กระทำการอันเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา และความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ.2532
“พ.ร.บ.ประกันสังคม” จากผลงานการยกร่าง ของทีมนักวิชาการ “บ้านพิษณุโลก” สองคน “นิพนธ์ พัวพงศกร” กับ “สังศิต พิริยะรังสรรค์” ได้ประกาศใช้ในยุครัฐบาล “นายกฯ น้าชาติ” เช่นกัน
นอกจากนั้น “พ่อ-ลูกชุณหะวัน” ยังได้พยายามผลักดันกฎหมายเกี่ยวกับพ.ร.บ.ป่าชุมชน การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพฯ การกำหนดให้โครงการขนาดใหญ่ของรัฐ เช่น การสร้างเขื่อนและโรงไฟฟ้า ต้องประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม เป็นต้น
หนังสือ “ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ชีวิต-มุมมอง-ความคิด” เขียนโดย “กุลธิดา สามะพุทธิ” จัดทำโดย“มูลนิธิสานวัฒนธรรม” พิมพ์ครั้งที่ 1 เดือนพฤษภาคม 2563 ได้เผย“ความในใจจารย์โต้ง”ไว้ดังนี้
“ไกรศักดิ์ภูมิใจมากที่รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย “เบรก” โครงการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ได้ถึง 3 เขื่อน และด้วยความที่มีพรรคพวกเพื่อนฝูงอยู่ในภาคประชาสังคม เขาจึงมักได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนของรัฐบาล ไปเจรจาหรือรับข้อร้องเรียนจากประชาชน เกษตรกรและกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ
ถึงจะเป็น “ฝ่ายรัฐบาล” แต่ลึกๆ แล้ว เขาค่อนข้างเห็นอกเห็นใจ และเห็นด้วยกับกลุ่มผู้ประท้วง โดยเฉพาะการคัดค้านโครงการและนโยบายของรัฐ ที่ส่งผลต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและชุมชน
ไกรศักดิ์สรุปว่าสิ่งที่เขาพยายามทำ ในฐานะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี คือ “ปรับกลไกของอำนาจของนายกฯ ให้มาบริการประชาชนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“นายกฯ น้าชาติ” และ “จารย์โต้ง” กับทีมที่ปรึกษา “บ้านพิษณุโลก” ทำผลงานที่ดีในมิติใหม่ๆให้ชาติกับประชาชนมิใช่น้อย จึงมีทั้งคนรักและคนเกลียดเป็นธรรมดา โดยเฉพาะในห้วงมีข่าวลือว่า “ทหารใหญ่กลุ่มหนึ่ง” กำลังจะถูก “นายกฯน้าชาติ”ใช้อำนาจ โยกย้ายออกจากตำแหน่งในเร็ววัน ผนวกกับ “นักการเมือง” บางคน มีพฤติกรรมส่อไปในทางเสนอโครงการไม่โปร่งใส จนเกิดการสร้างกระแสรัฐบาล “นายกฯ น้าชาติ” เป็น “รัฐบาลบุฟเฟ่คาบิเน็ต” พร้อมกับข่าวลือจะมี “รัฐประหาร” ในห้วงนั้นอีกด้วย
การจะทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาล “นายกฯ น้าชาติ” ที่ทำให้เศรษฐกิจกำลังเดินหน้าพุ่งปรู๊ด สู่กระแสสูงในขณะนั้น ทำให้ “กลุ่มทหารใหญ่” ต้องหาข้ออ้างการทำรัฐประหาร ให้ประชาชนยอมรับไงล่ะ..
ด้วย “กลุ่มทหารใหญ่” รู้อยู่แก่ใจว่า ถ้ารัฐประหาร “ชนะ” ก็ได้เป็น “พระเอก” มีอำนาจรัฐไว้ในกำมือสบายใจเฉิบไปเลย แต่ถ้าทำรัฐประหารแล้ว “แพ้” ก็จะกลายเป็น “ผู้ร้าย” เป็น “กบฏล้มล้างรัฐบาล” ต้องไป “ทัวร์คุกฟรี” โดยไม่เต็มใจทันที!
ถึงตรงนี้..ขอย้อนเข็มนาฬิกา กลับมาช่วงที่ “นายกฯน้ าชาติ” กับ “จารย์โต้ง” ทำงานในฐานะรัฐบาลมาจากเลือกตั้งของชาติไทย ซึ่ง “ผม” กำลังง่วนกับการต้องเดินทางเข้าออก ระหว่างไทยกับเวียดนาม เพราะทำงานกับ “พีรพล ตริยะเกษม” บุกเบิกงานในประเทศเวียดนาม ตามที่ “จารย์โต้ง” มอบหมาย
อย่างไรก็ตาม..ผมมักโทรศัพท์ หรือไปนั่งคุยกับ “จารย์โต้ง” เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง ที่บ้านเรือนไทยของ “จารย์โต้ง” และที่ทำงาน “จารย์โต้ง” ที่ “บ้านพิษณุโลก” หลายครั้งคราที่ผมได้สะท้อนถึงปัญหา ที่กลุ่ม “นักการเมือง” และ“ข้าราชการ” โดยเฉพาะ “กลุ่มทหารใหญ่” ไม่พอใจต่อการทำงานในหลายเรื่อง ของ“จารย์โต้ง” กับทีมงาน “บ้านพิษณุโลก”
เพราะกลุ่มคนเหล่านั้นมองบทบาท ของ “จารย์โต้ง” กับทีมงาน “บ้านพิษฯ”ว่า มีอิทธิพลต่อการทำงานของ “นายกฯ น้าชาติ” ให้ทำหรือไม่ทำในเรื่องนั้นเรื่องนี้ หรือทำให้หลายโครงการสะดุดหรือหยุดกึกลง ซึ่งกลุ่มคนเหล่านั้นเป็นผู้เสนอหรือผลักดัน ด้วยมีผลประโยชน์ทับซ้อนซ่อนเร้นอยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เชื่อว่า “จารย์โต้ง” กับทีมที่ปรึกษา “บ้านพิษณุโลก” มีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลักดันอย่างลับๆ ให้มีการโยกย้ายตำแหน่ง “ทหารใหญ่กลุ่มนี้” เพื่อป้องกันมิให้เกิดการทำรัฐประหาร โค่นรัฐบาล “นายกฯ น้าชาติ” ที่ลือกันหึ่งในห้วงนั้น
ผมได้พูดคุยกับ “จารย์โต้ง” หลายครั้งว่า ต้องหาวิธีลดความขัดแย้งของทั้งสองฝ่าย ระหว่าง “ทหารใหญ่กลุ่มนี้” กับ “รัฐบาลน้าชาติ” ลงโดยด่วน เพราะกระแสข่าวที่ได้รับ ล้วนยืนยันตรงกันว่า “ทหารใหญ่กลุ่มนี้” เชื่อว่า “นายกฯ น้าชาติ” จะโยกย้าย “ทหารใหญ่บางคน” แน่นอน
ทำให้การเดินทางไปเข้าเฝ้าฯ “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ณ เชียงใหม่ ของ “นายกฯน้าชาติ” กับคณะ ตึงเครียดตั้งแต่ในค่ำคืนก่อนวันเกิดเหตุฯ เพราะ “น้าชาติ-จารย์โต้ง-ทีมงานบ้านพิษฯ” รู้แล้วว่า “กลุ่มทหารใหญ่” จะแอ่นแอ๊นในเช้าวันรุ่งขึ้น..
เพราะ“ทหารใหญ่กลุ่มนี้” จะต้องยับยั้งทุกวิถีทาง มิให้ “น้าชาติ-พล.อ.ชาติชาย” กับ “บิ๊กซัน-พล.อ.อาทิตย์” เดินทางจากกรุงเทพฯไปเข้าเฝ้าฯ“ในหลวงรัชกาลที่ 9” ด้วย “กลุ่มทหารใหญ่” มั่นใจเต็มร้อยว่า “นายกฯ น้าชาติ” จะต้องโยกย้าย “กลุ่มทหารใหญ่” ให้พ้นจากตำแหน่งแน่นอน
คืนนั้น! ขณะที่ “กลุ่มทหารใหญ่” เตรียมพร้อม จะปฏิบัติการ “จับตัวนายกฯ น้าชาติ” กับคณะและทำรัฐประหาร! คืนเดียวกัน..“ใครบางคน” เสนอให้ “นายกฯ น้าชาติ” ปฏิบัติการ“แตกหัก” จัดการ “ดับเครื่องชน” ชนิด “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ด้วยการบุกจับ “กลุ่มทหารใหญ่” เพื่อทำลายแผนรัฐประหารแบบฉับพลันทันที
ทว่า..เมื่อเรื่องนี้รู้ไปถึงหู “นายกฯ น้าชาติ” ชายชาติทหารที่มีตำแหน่งเป็นถึง“นายกฯ” ก็เดินทางมาแสดงความไม่เห็นด้วยทันที “นายกฯ น้าชาติ” ได้เล่าความในใจให้ฟังว่า “ถ้าวันนั้นเราชนะ ผมได้เป็นนายกฯ ต่อ..แต่จริงๆ พวกเราและชาติแพ้นะ เพราะไม่ว่าใครจะชนะหรือใครจะแพ้ ทั้งสองฝ่ายต้องมีการเสียเลือดเนื้อคนไทยด้วยกันเอง..จริงไหม?”
“ใครบางคน” ยังได้เสนอทางออกในคืนนั้นอีกว่า “ถ้าอย่างนั้น..ท่านนายกฯ ก็เลื่อนไปเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวฯ ในวันพรุ่งนี้ก่อนดีไหม?” เพื่อจะได้ยับยั้งการทำรัฐประหาร ของ “ทหารใหญ่กลุ่มนั้น”ลงชั่วคราวเพื่อหาทางออกอีกที..
แต่ “นายกฯ น้าชาติ” กลับเห็นว่า “ทำอย่างนั้นไม่ได้นะ..เมื่อหมายเข้าเฝ้าในหลวงฯ ออกมาเป็นที่รู้กันแล้ว..ถึงจะตายเราก็ต้องไปเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวฯ” อีกทั้ง“นายกฯ น้าชาติ”เชื่อว่า..“ทหารคงไม่กล้าขัดขวางพระราชบัญชาของพระเจ้าอยู่หัวฯหรอก..” และถึงจะเลื่อนเดินทาง ถ้าเขาจะรัฐประหาร เขาก็ต้องทำจนได้
เช้าวันรุ่งขึ้น..ขณะที่ “นายกฯ น้าชาติ” กับ “บิ๊กซัน” กำลังยืนรอขึ้นเครื่องบินไปเชียงใหม่ “บิ๊กซัน” สังเกตเห็นความผิดปกติในบางอย่าง จึงได้กระซิบบอกกับ“นายกฯ น้าชาติ” ว่า “พวกมันเอาเราแน่”!
อืม..แล้ว “พวกมันก็เอาเราจริงๆ”! ทหารอากาศได้ปฏิบัติการจับตัว “น้าชาติ-นายกฯ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ” กับ “บิ๊กซัน-พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก”บนเครื่องบิน “นายทหารอากาศ” ที่คุมตัว “นายกฯ น้าชาติ” จ่อปืนตรงหน้า “นายกฯ น้าชาติ”
“นายทหารอากาศ” ผู้นั้นมือสั่นเทา ทั้งๆ ที่นิ้วแตะอยู่ที่ไกปืน จน “นายกฯ น้าชาติ” ต้องพูดขึ้นว่า
“เฮ้ย..เอาปากกระบอกปืนออกไปให้พ้นหัวหน่อย เดี๋ยวเกิดเหนี่ยวไกขึ้นมา..จะยุ่งกันใหญ่เลยนะโว้ย!”
“น้าชาติ” เล่าเรื่องราวในอดีตให้ผมและคณะทำงานฯ ฟัง ที่ “บ้านราชครู” และที่ “อพาร์ตเม้นท์” ของ “จารย์โต้ง” ซึ่งเป็นที่ทำงานของ “หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา” ในยุค “จารย์โต้ง” เป็นหัวหน้าคณะทำงาน
เอ้อ..เรื่องนี้ยังไม่จบ..เพราะ “น้าชาติ” พูดตบท้ายว่า..“ผมถูกรัฐประหารครั้งนั้น..โชคดีที่มี...”???
..โปรดติดตามอ่านต่อฉบับหน้า..