“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
อำนาจ-เป็นเรื่องสมมติชั่วคราว! ความดี-เป็นเรื่องจริงที่ยั่งยืน!
ใครที่รู้จักกับ “จารย์โต้ง-ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ” ชายร่างบอบบางผิวสีแทน ท่วงท่ากระฉับกระเฉง ใบหน้าสวมแว่นตาดุจดั่ง “มหาตมา คานธี”
อืม..คิดถึง “จารย์โต้ง” ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดหนึ่งของ “คานธี” ที่ว่า..
“ทุกคนยอมรับว่าการกระทำชั่วเป็นเรื่องโง่เขลา แต่ถ้าใครคิดว่าการใช้วิธีชั่ว เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ดีเป็นเรื่องถูกต้องละก็ ยิ่งนับว่าเป็นคนโง่เขลามากยิ่งขึ้นไปอีก”
การต้องทำชั่วเพื่อขึ้นสู่อำนาจนั้น ทำให้ประชาชนเห็น “นักการเมืองไทย” ต่อสู้แย่งอำนาจกันชนิดเอาเป็นเอาตาย ราวกับเป็นศัตรูกันมาแต่ชาติปางก่อน..
“นักการเมืองไทย” ส่วนใหญ่มักหน้ามืดตามัว จนลด-ละ-เลิกจุดยืนในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติกับประชาชน โดยกลับมาทำเพื่อตัวเองกับพวกพ้องเป็นหลัก “นักการเมือง” จะกะล่อนและกระหายอำนาจ ด้วยสูตรการเมือง “ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร” ทันที
ความถูกต้องที่ “คานธี” ยึดมั่นข้างต้น หากนำมาใช้ในชีวิตจริงอย่างเถรตรง ไม่ยืดหยุ่นพลิกแพลงในบางเรื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง ก็จะเกิดความขัดแย้งบานปลายได้ทุกเมื่อ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลอ่อนแอลงเรื่อยๆ หรืออาจทำให้รัฐบาลถึงกับล้มครืนลงได้
เพราะ “นักการเมืองไทย” ส่วนใหญ่ ยังด้อยทั้งคุณภาพและคุณธรรม ทำให้การเมืองไทยเน่าเฟะมากขึ้นทุกวี่วัน ด้วยนักการเมืองมักทำแต่เรื่องเลวร้าย เช่น “พูดอย่างทำอย่าง-พูดแล้วไม่ทำ-พูดโกหกลวงหลอก”อย่างหน้าด้านๆเป็นนิจ
ด้วยนักการเมืองส่วนใหญ่ มักดูถูกว่า คนไทยส่วนใหญ่ “ซื้อขายได้ด้วยเงิน” อีกทั้ง “คนไทยลืมง่ายลืมเร็ว”... เสียด้วยสิ..
อ้อ..ยิ่งเป็น “รัฐบาลผสมหลายพรรค” ก็จะยิ่งไร้ความมั่นคงแข็งแรง ง่ายต่อการล้มลงในไม่ช้าก็เร็ว ถ้า “นายกฯ” หรือ “พรรคแกนนำ” รัฐบาล ไม่เอาใจนักการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาล
แต่..ไม่ว่ารัฐบาลจะเจอปัญหาหนักเพียงใด “นายกฯ น้าชาติ” ก็อารมณ์ดีไม่เครียด ยังคงใช้ลีลาแก้ปัญหาชาติกับประชาชน รวมทั้งแก้ปัญหาภายในรัฐบาล ด้วยคำว่า “โนพล็อบเบล็ม”โดย “น้าชาติ” มักพูดเสมอว่า
“ทุกปัญหาแก้ได้ เพราะปัญหามีไว้ให้รัฐบาลแก้ พวกเราจะได้ใช้ฝีมือแก้ปัญหาไงล่ะ”
รัฐบาล “นายกฯ น้าชาติ” กับ “จารย์โต้ง” และทีมงานที่ปรึกษา “บ้านพิษฯ” จึงไม่เกรงกลัวการชุมนุมเรียกร้อง หรือการประท้วงให้รัฐบาลแก้ปัญหา ทั้งภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรม โดย “น้าชาติ” มักส่ง “จารย์โต้ง” กับทีมที่ปรึกษา ลงไปแก้ปัญหาร่วมกับผู้ชุมนุม เรื่องใดแก้ได้จะทำให้ทันที บางเรื่องจะแก้ในระดับกระทรวง อีกหลายเรื่องก็ออกเป็นกฎหมายผ่านสภาฯ ฯลฯ
เรียกว่า..“นายกฯน้าชาติ-จารย์โต้ง-ทีมที่ปรึกษาฯ” ถือหลัก “ทุกปัญหาแก้ได้” ดังนี้
“ถ้าพวกเขาไม่เดือดร้อน เขาจะลำบากมาชุมนุมเดินขบวนทำไมล่ะ? นายกฯและรัฐบาลมีหน้าที่ต้องแก้ไขปัญหา จะไปกลัวประชาชนทำไม? ดีเสียอีกที่ประชาชนเสียสละเวลา อุตส่าห์เดินทางมาบอกปัญหาให้รู้ถึงหน้าทำเนียบฯ..”
อย่างไรก็ตาม “จารย์โต้ง” มักมีเรื่องขัดแย้ง หรือถกเถียงกับ “นายกฯ น้าชาติ” อยู่บ่อยครั้ง ด้วย “จารย์โต้ง” เป็นคนตรงไปตรงมา อีกทั้งไม่เห็นด้วยอยู่เสมอๆ กับโครงการที่มีพฤติกรรมคอร์รัปชั่นโกงชาติ ของนักการเมืองบางคนในพรรคร่วม กับพรรคแกนนำรัฐบาล
แต่ “จารย์โต้ง” กับเพื่อนพ้องน้องพี่ ก็ไม่อาจขัดขวางการโกงชาติได้ตลอด ทำให้รัฐบาล “นายกฯน้าชาติ” ได้รับฉายาเป็น “รัฐบาลบุฟเฟ่คาบิเนต” อันฉาวโฉ่..
งานนี้ต้องบอก “ผู้มีอำนาจ” ตรงๆ ว่า ตราบใดที่การเลือกตั้งในชาติไทย ยังไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม ยังโกงกันสารพัดรูปแบบ ยังเป็นรัฐบาลผสมร้อยพ่อพันแม่ ยังมีการเจรจาต่อรองกันอุตลุด ถึงขั้นมีการแอบซื้อขายตำแหน่ง รมต.กันด้วย ฯลฯ
“นักการเมืองเลว” จึงต้อง “ถอนทุนบวกกำไร” อย่างมโหฬาร ด้วยการคอร์รัปชั่นโกงชาติไม่รู้จักพอ เพื่อกอบโกยเงินทองเข้ากระเป๋าตัวเองและพวกพ้อง เตรียมจะทุ่มทุนสำหรับเลือกตั้งครั้งต่อไปนั่นเอง
นับแต่อดีตจรดปัจจุบันตราบอนาคต ประชาธิปไตยทุนสามานย์โกงการเลือกตั้ง ทุกรัฐบาลจึงต้องคอร์รัปชั่นโกงชาติไม่มากก็น้อย ในโครงการใหญ่น้อยทั้งหลาย
ภัยจาก “กลุ่มนักการเมือง-ข้าราชการ-นักธุรกิจ” เลวบางกลุ่ม จึงเป็นอันตรายร้ายแรงอย่างยิ่งยวด ต่อความมั่นคงของชาติและประชาชน ทั้งยังเป็น “ต้นเหตุปัญหา” ที่ทำให้ “คณะนายทหาร”ใช้ “กองทัพของชาติ” ออกมาทำรัฐประหาร ด้วยข้ออ้างเพื่อปราบบรรดานักการเมืองโกงชาติ..
แถมบางคณะรัฐประหาร ยังประกาศจะลดความเหลื่อมล้ำ คนรวยกับคนจน! จะปฏิรูปทุกภาคส่วนให้ชาติ ซึ่งตรงกับใจประชาชนส่วนใหญ่
ทว่า..ทั้งรัฐบาลเลือกตั้งกับรัฐประหารที่ผ่านมา ล้วนไม่เคยทำตามคำพูดแม้แต่น้อย เพราะยังมุ่งรักษาและสืบทอดอำนาจของตนเองกับพวกพ้อง เพื่อจะได้โกงชาติต่อไป
เรียกว่า..รัฐบาลทั้งสองรูปแบบ ล้วนมีโอกาสที่จะใช้อำนาจรัฐสร้างผลงานดีๆ ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่ดีกินดีมากขึ้น รวมทั้งจะทำให้ชาติเจริญรุ่งเรือง ซึ่ง “ผู้มีอำนาจ” จะได้เป็น “วีรบุรุษ” ที่ประชาชนชื่นชมสรรเสริญตลอดไป
แต่..แทนที่รัฐบาลทั้งสองรูปแบบ ซึ่งรู้ถึงต้นเหตุปัญหาชาติว่ามีเรื่องใดบ้าง? อีกทั้งต้องเร่งแก้ต้นเหตุปัญหาสำคัญๆ ของชาติกับประชาชนให้หมดสิ้นไป หรือให้ลดน้อยลงโดยเร็วที่สุด ทว่า..รัฐบาลทั้งสองรูปแบบ กลับมีพฤติกรรมเป็นตัวการสำคัญ ที่สร้างความเลวร้ายเพิ่มขึ้นอย่างมากมายให้ชาติกับประชาชน เพราะมิเคยเลยที่จะลด-ละ-เลิกกระทำความชั่ว กลับใจหันมาทำดีให้ชาติกับประชาชน
พูดเรื่อง “การเมืองทุนสามานย์” เสียยาวยืด ก็เพื่อจะบอกให้ได้รับรู้ร่วมกันว่า ถึงแม้ “พล.อ.ชาติชาย ชุนหะวัณ” จะได้เป็น “ผู้นำรัฐบาล” เพราะรวบรวม “ส.ส.” ได้เกินครึ่งสภาฯ แต่..เพราะเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค และมี สส.ร้อยพ่อพันแม่ร่วมกันตั้ง “รัฐบาลน้าชาติ”
เปลือกนอกดูเสมือน “นายกฯ น้าชาติ” มีอำนาจมากมาย แต่แท้จริงแล้วมีหลากหลายเรื่อง ที่ “นายกฯน้าชาติ” ไม่อาจทำได้ดังใจปรารถนา หรือไม่อาจทำได้ดีกว่าที่ทำอยู่
พูดตรงไปตรงมาก็คือ แม้ “นายกฯ น้าชาติ” อยากทำดีในเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ติดที่ รมต.และ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลไม่เอาด้วย หลายนโยบายที่ดีจึงไม่เกิดขึ้นหรือเดินหน้าไม่ได้ แต่กลับมีนโยบายไม่ดีหลายเรื่องโผล่มา
“นายกฯ น้าชาติ” จะตั้ง “รมต.ดีมีฝีมือ” ก็ทำไม่ได้อีก เพราะมีเรื่องของโควต้า รมต.ที่พรรคร่วมรัฐบาลเสนอชื่อมาให้ “นายกฯ น้าชาติ” จำต้องแต่งตั้ง จะไม่ทำตามหรือบิดพลิ้วก็ไม่ได้เสียด้วยสิ..เฮ้อ..
ขืน “นายกฯ น้าชาติ” พลิกพลิ้วไม่ทำตามที่พรรคร่วมรัฐบาลระบุชื่อให้เป็น รมต. ลงในตำแหน่งกระทรวงนั้นๆ “นายกฯ น้าชาติ” คงตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จแน่นอน..จริงไหม?
ดังนั้น แม้รัฐบาล “นายกฯ น้าชาติ-จารย์โต้ง” กับทีมที่ปรึกษา “บ้านพิษณุโลก” จะมีผลงานดีๆ มีนโยบายที่ดีเกิดใหม่มิใช่น้อย เช่นเรื่อง “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” นโยบายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายโครงการ และนโยบายดีอื่นๆอีกมากมาย
ทว่า “จารย์โต้ง” อยู่ในสภาพ “เอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง” ย่อมยากจะทัดทานขัดขวางการคอร์รัปชั่น ในรัฐบาลฉายา “บุฟเฟ่คาบิเนต” ซึ่งมี “ผู้พ่อ-นายกฯ น้าชาติ” ต้องเผชิญอยู่อย่างหนักหน่วง..
แถมห้วงนั้นยังมีข่าวลือโผล่ขึ้นมาว่า “นายกฯ น้าชาติ” จะโยกย้าย “ขุนทหาร” พร้อมๆ กับการเกิดกระแสจะมีการทำรัฐประหารอีกด้วย..โอวววว..อันตรายจริงๆเลยพับผ่า..
..โปรดติดตามตอนต่อไป..
ขอบคุณภาพจาก หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร