ซูเปอร์โพลชี้ประชาชนเห็นใจ "รมต.สี่กุมาร" ที่ถูกกระทำ ค้านลาออก ป้องไม่ควรถูกทรยศหักหลังทั้งที่เสียสละกรุยทางให้เข้ามามีอำนาจ อย่าเสร็จศึกฆ่าขุนพล มอง "บิ๊กตู่" กำลังย้อนกลับสู่การเมืองเก่า แนะคงรูปเดิม ปรับครม.ต้องมีเหตุผลพอ
วานนี้ (28มิ.ย.) นายนพดล กรรณิกา ผอ.สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เผยผลสำรวจเรื่อง"สี่รัฐมนตรีกับใจประชาชน" กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ 1,470 คน ระหว่าง 26 –27ม.ย. ที่ผ่านมา ดังนี้
เมื่อถามถึง "รัฐมนตรีแกนนำสำคัญของรัฐบาลที่ประชาชนพอใจ เฉพาะรัฐมนตรีที่มีข่าวจะถูกปรับออก เทียบกระทบกับความพอใจของประชาชนต่อ 3 ป." พบว่า อันดับหนึ่ง หรือร้อยละ 49.2 ระบุ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รองลงมาคือ ร้อยละ 48.3 ระบุ นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ร้อยละ 43.5 ระบุ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน ร้อยละ 43.2 ระบุ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ร้อยละ 42.2 ระบุ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ร้อยละ 36.0 ระบุ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รมว.แรงงาน และสุดท้าย ร้อยละ 31.8 ระบุ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
เมื่อถามถึง "ความเห็นของประชาชนต่อรัฐบาลบิ๊กตู่ เดินหน้าสู่การเมืองใหม่ เป็นตัวอย่างที่ดีต่อเด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ หรือ การเมืองเก่าแบบเดิมที่เคยถูกอ้างก่อนการยึดอำนาจที่ผ่านมา" พบว่า ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 65.5 ระบุ รัฐบาลบิ๊กตู่ กำลังเดินสู่การเมืองเก่าแบบเดิม ที่เคยถูกอ้างก่อนการยึดอำนาจที่ผ่านมา ในขณะที่ ร้อยละ 34.5 ระบุ การเมืองใหม่
ที่น่าพิจารณา คือ"ความรู้สึกเห็นใจของประชาชน สงสาร หดหู่ใจต่อการเมือง เมื่อเห็น 4 รัฐมนตรีถูกกระทำโดยผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาล และคนในพรรคพลังประชารัฐ" จำแนกตามกลุ่มการเมืองของประชาชน พบว่า พลังเงียบส่วนใหญ่ หรือ ร้อยละ 66.3 รู้สึกสงสาร เห็นใจ หดหู่ใจต่อการเมืองไทย ส่วนกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาล ก็รู้สึกสงสารเห็นใจจำนวนมาก ถึง ร้อยละ 43.6 ในขณะที่ร้อยละ 29.5 ของผู้ไม่สนับสนุนรัฐบาล รู้สึกสงสาร เห็นใจ หดหู่ใจต่อการเมืองไทย ตามลำดับ ในขณะที่คนที่สนับสนุนรัฐบาล ร้อยละ 56.4 ไม่รู้สึกอะไร และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 70.5 ของคนที่ไม่สนับสนุนรัฐบาล ไม่รู้สึกอะไรเช่นกัน
นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 62.5 ไม่เห็นด้วยต่อการลาออกจากทุกตำแหน่งของ 4 รัฐมนตรี ในขณะที่ ร้อยละ 37.5 เห็นด้วย
นายนพดล กล่าวว่า "4รัฐมนตรีกับใจประชาชน" คือจุดเน้นของโพลชิ้นนี้ ที่ชี้ให้เห็นว่า 4 รัฐมนตรี ได้ใจประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มพลังเงียบผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดที่ สงสาร เห็นใจ และหดหู่ต่อการเมืองไทย เพราะ 4 รัฐมนตรีเหล่านี้ถูกผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาลและคนในพรรคพลังประชารัฐกระทำ โดยส่วนตัววิเคราะห์ว่า 4 รัฐมนตรีเหล่านี้ คือผู้ที่มีบุญคุณที่ไม่ควรถูกทรยศหักหลัง อกตัญญู และสามารถอุ้มค้ำจุนความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนต่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มากกว่า ด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนี้
1. สี่รัฐมนตรี เป็นเสมือนคณะนายทหารชั้นผู้น้อยผู้กล้าในกองทัพส่วนหน้าที่ลุยฝ่ากระสุนกระแสสังคม เพื่อกรุยทางให้ผู้หลักผู้ใหญ่เข้าสู่อำนาจได้ และทำให้ต่างชาติยอมรับได้แบบพื้นป่าไร้รอยต่อ 2. ยังไม่มีประวัติด่างพร้อย ยังไม่ได้สร้างความเสื่อมเสียต่อรัฐบาล 3. มีส่วนสำคัญสร้างผลงานปรากฏต่อสายตาต่างชาติทำให้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็นประเทศที่น่าลงทุน มีผลงานในประเทศโดย เฉพาะช่วงวิกฤตโควิด-19 เงินเยียวยา อัดฉีดเงินตรงถึงกระเป๋าของประชาชน ลดค่าไฟ ลดราคาน้ำมัน ค่าก๊าซ และกำลังลงสู่เศรษฐกิจฐานรากชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศ ผู้หลักผู้ใหญ่ควรใจเย็น อย่าเป็นไปตามแรงยุของคนข้างๆ ควรใช้หลัก“ให้คนคิดเป็นคนทำ”
4. ได้ต่อสู้ในสนามรบผ่านงบประมาณกฎหมายกู้เงินต่างๆ ให้ผู้หลักผู้ใหญ่และผู้มี“ภาวะตัณหา”ทั้งหลายสำเร็จแล้ว ก็จะถูกขจัดออกไปทันที มันจะเป็นการฝืนกระแสแห่งความดีงาม เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อเด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ ลูกหลานในอนาคตของพวกเราทุกคน เหมือนกับ เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล ผู้เสียสละช่วยเหลือให้ทุกท่านเข้าสู่อำนาจในขณะนี้ แบบนี้คือ คุณธรรมความดีหรือ
โดยสรุป เสนอให้ “คงรูป”เดิมไปก่อนใช้หลัก The Status Quo จะทำให้บ้านเมืองและประชาชนเดินหน้าต่อได้ดีกว่า เพราะถ้าจะเปลี่ยนแปลง รัฐบาลต้องมีเหตุผลเพียงพอว่า พวกเขาผิดอะไร ผลงานก็มีเป็นทุนให้เห็นอยู่ เอาคนใหม่เข้ามา จะได้ไม่เท่าเสีย ทั้งกระแสสังคมและความดีงามต่อเด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่กำลังเฝ้าดูการประพฤติปฏิบัติตนทางการเมืองของผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาล
วานนี้ (28มิ.ย.) นายนพดล กรรณิกา ผอ.สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เผยผลสำรวจเรื่อง"สี่รัฐมนตรีกับใจประชาชน" กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ 1,470 คน ระหว่าง 26 –27ม.ย. ที่ผ่านมา ดังนี้
เมื่อถามถึง "รัฐมนตรีแกนนำสำคัญของรัฐบาลที่ประชาชนพอใจ เฉพาะรัฐมนตรีที่มีข่าวจะถูกปรับออก เทียบกระทบกับความพอใจของประชาชนต่อ 3 ป." พบว่า อันดับหนึ่ง หรือร้อยละ 49.2 ระบุ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รองลงมาคือ ร้อยละ 48.3 ระบุ นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ร้อยละ 43.5 ระบุ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน ร้อยละ 43.2 ระบุ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ร้อยละ 42.2 ระบุ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ร้อยละ 36.0 ระบุ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รมว.แรงงาน และสุดท้าย ร้อยละ 31.8 ระบุ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
เมื่อถามถึง "ความเห็นของประชาชนต่อรัฐบาลบิ๊กตู่ เดินหน้าสู่การเมืองใหม่ เป็นตัวอย่างที่ดีต่อเด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ หรือ การเมืองเก่าแบบเดิมที่เคยถูกอ้างก่อนการยึดอำนาจที่ผ่านมา" พบว่า ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 65.5 ระบุ รัฐบาลบิ๊กตู่ กำลังเดินสู่การเมืองเก่าแบบเดิม ที่เคยถูกอ้างก่อนการยึดอำนาจที่ผ่านมา ในขณะที่ ร้อยละ 34.5 ระบุ การเมืองใหม่
ที่น่าพิจารณา คือ"ความรู้สึกเห็นใจของประชาชน สงสาร หดหู่ใจต่อการเมือง เมื่อเห็น 4 รัฐมนตรีถูกกระทำโดยผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาล และคนในพรรคพลังประชารัฐ" จำแนกตามกลุ่มการเมืองของประชาชน พบว่า พลังเงียบส่วนใหญ่ หรือ ร้อยละ 66.3 รู้สึกสงสาร เห็นใจ หดหู่ใจต่อการเมืองไทย ส่วนกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาล ก็รู้สึกสงสารเห็นใจจำนวนมาก ถึง ร้อยละ 43.6 ในขณะที่ร้อยละ 29.5 ของผู้ไม่สนับสนุนรัฐบาล รู้สึกสงสาร เห็นใจ หดหู่ใจต่อการเมืองไทย ตามลำดับ ในขณะที่คนที่สนับสนุนรัฐบาล ร้อยละ 56.4 ไม่รู้สึกอะไร และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 70.5 ของคนที่ไม่สนับสนุนรัฐบาล ไม่รู้สึกอะไรเช่นกัน
นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 62.5 ไม่เห็นด้วยต่อการลาออกจากทุกตำแหน่งของ 4 รัฐมนตรี ในขณะที่ ร้อยละ 37.5 เห็นด้วย
นายนพดล กล่าวว่า "4รัฐมนตรีกับใจประชาชน" คือจุดเน้นของโพลชิ้นนี้ ที่ชี้ให้เห็นว่า 4 รัฐมนตรี ได้ใจประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มพลังเงียบผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดที่ สงสาร เห็นใจ และหดหู่ต่อการเมืองไทย เพราะ 4 รัฐมนตรีเหล่านี้ถูกผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาลและคนในพรรคพลังประชารัฐกระทำ โดยส่วนตัววิเคราะห์ว่า 4 รัฐมนตรีเหล่านี้ คือผู้ที่มีบุญคุณที่ไม่ควรถูกทรยศหักหลัง อกตัญญู และสามารถอุ้มค้ำจุนความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนต่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มากกว่า ด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนี้
1. สี่รัฐมนตรี เป็นเสมือนคณะนายทหารชั้นผู้น้อยผู้กล้าในกองทัพส่วนหน้าที่ลุยฝ่ากระสุนกระแสสังคม เพื่อกรุยทางให้ผู้หลักผู้ใหญ่เข้าสู่อำนาจได้ และทำให้ต่างชาติยอมรับได้แบบพื้นป่าไร้รอยต่อ 2. ยังไม่มีประวัติด่างพร้อย ยังไม่ได้สร้างความเสื่อมเสียต่อรัฐบาล 3. มีส่วนสำคัญสร้างผลงานปรากฏต่อสายตาต่างชาติทำให้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็นประเทศที่น่าลงทุน มีผลงานในประเทศโดย เฉพาะช่วงวิกฤตโควิด-19 เงินเยียวยา อัดฉีดเงินตรงถึงกระเป๋าของประชาชน ลดค่าไฟ ลดราคาน้ำมัน ค่าก๊าซ และกำลังลงสู่เศรษฐกิจฐานรากชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศ ผู้หลักผู้ใหญ่ควรใจเย็น อย่าเป็นไปตามแรงยุของคนข้างๆ ควรใช้หลัก“ให้คนคิดเป็นคนทำ”
4. ได้ต่อสู้ในสนามรบผ่านงบประมาณกฎหมายกู้เงินต่างๆ ให้ผู้หลักผู้ใหญ่และผู้มี“ภาวะตัณหา”ทั้งหลายสำเร็จแล้ว ก็จะถูกขจัดออกไปทันที มันจะเป็นการฝืนกระแสแห่งความดีงาม เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อเด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ ลูกหลานในอนาคตของพวกเราทุกคน เหมือนกับ เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล ผู้เสียสละช่วยเหลือให้ทุกท่านเข้าสู่อำนาจในขณะนี้ แบบนี้คือ คุณธรรมความดีหรือ
โดยสรุป เสนอให้ “คงรูป”เดิมไปก่อนใช้หลัก The Status Quo จะทำให้บ้านเมืองและประชาชนเดินหน้าต่อได้ดีกว่า เพราะถ้าจะเปลี่ยนแปลง รัฐบาลต้องมีเหตุผลเพียงพอว่า พวกเขาผิดอะไร ผลงานก็มีเป็นทุนให้เห็นอยู่ เอาคนใหม่เข้ามา จะได้ไม่เท่าเสีย ทั้งกระแสสังคมและความดีงามต่อเด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่กำลังเฝ้าดูการประพฤติปฏิบัติตนทางการเมืองของผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาล