อีกแค่ 4 เดือนเท่านั้น ก็จะถึงวันลงคะแนนเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯ และทรัมป์ก็หมายมั่นปั้นมือว่า เขาจะต้องได้รับเลือกเข้ามาเป็นปธน.ในรอบที่ 2 เนื่องจากเป็นธรรมเนียมทางการเมือง ที่ปธน.ของสหรัฐฯ มักอยู่ได้ 2 รอบ เนื่องจากจะได้เปรียบมากในด้านการคุมเนื้อที่สื่อ สำหรับเสนอแต่ผลงานของปธน. รวมทั้งการแถลงข่าวและการสัมภาษณ์ต่างๆ ซึ่งฝ่ายคู่แข่งจะไม่ได้รับโอกาสอันนั้น
ยิ่งเมื่อทรัมป์เข้ามารับตำแหน่งที่ทำเนียบขาว เขาก็ได้ผลักดันแผนการลดภาษียิ่งใหญ่ ซึ่งถูกใจเหล่านักธุรกิจระดับใหญ่ ที่มีการลดภาษีแก่ผู้มั่งคั่งและบริษัทต่างๆ เพราะชาวรีพับลิกันมีแนวคิดว่า ถ้านักธุรกิจและบริษัทของเขาได้รับการลดภาษี ก็จะมีเงินเหลือไปขยายธุรกิจ เป็นการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเงินจากผู้มั่งคั่งก็จะไหลลงมายังผู้มีรายได้น้อยจากการขยายงานนั่นเอง เป็น Ripple Effect ที่เงินและความมั่งคั่งไหลจากบนลงล่าง แม้ว่าแนวคิดนี้จะถูกค้านจากนักเศรษฐศาสตร์ระดับรางวัลโนเบลหลายคนของสหรัฐฯ เช่น Paul Krugman และ Joseph Stiglitz ที่พยายามพิสูจน์ว่า มันไม่เป็นเช่นนั้น แต่กลับถ่างความไม่เท่าเทียมกันมากยิ่งขึ้น
เศรษฐกิจที่วัดจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ทำลายสถิติแทบทุกอาทิตย์ก่อนหน้าโควิด-19 รวมทั้ง GDP ที่ขยายตัว (แม้ว่าความเหลื่อมล้ำกลับยิ่งสาหัสมากขึ้นในสหรัฐฯ...ชนิดที่ Warren Buffett เจ้าพ่อตลาดหุ้นยังออกมาแสดงความเห็นใจคนมีรายได้น้อยว่า เลขาของเขาต้องจ่ายภาษีสูงกว่าเขาเสียอีก) ทำให้ทรัมป์ลำพองใจว่า ครัวเรือนสหรัฐฯ จะเลือกเขากลับมาในรอบสองแน่ เพราะเวลาเขาไปปราศรัยหาเสียงกับประชาชน เขาก็จะงัดแต่ตัวเลขเศรษฐกิจ และการจ้างงานมาเพิ่มคะแนนนิยมของเขาตลอด 3 ปีกว่าที่ผ่านมา
ฤทธิ์เดชที่ทรัมป์ต้องเผชิญอย่างคาดไม่ถึงก็คือ เจ้าโควิด-19 ที่เขาประมาทว่ามันจะไม่มาระคายสหรัฐฯ ทำให้รับมือช้าถึง 8 อาทิตย์ โรคก็เลยลามขยายไม่หยุด และเศรษฐกิจก็เป็นอัมพาตตามมา
รวมทั้งการประท้วงใหญ่โตทั่วสหรัฐฯ เรื่องตำรวจทำรุนแรงด้วยอคติ (และโครงสร้างของระบบกฎหมาย)
ซึ่งเป็น 3 เรื่องที่กำลังดึงคะแนนเสียงของทรัมป์จนตอนนี้ คู่แข่งโจ ไบเดน กำลังแซงหน้าเขา ทั้งในโพลทั่วประเทศ และในรัฐที่เคยส่งทรัมป์เข้าทำเนียบขาว
ทรัมป์ได้หันมาใช้กลยุทธ์หาเสียง 2 เรื่องคือ เรื่องแรก เหมาให้จีนเป็นแพะทั้งเรื่องโรคโควิด-19 และการปล้นงานไปจากสหรัฐฯ
เรื่องที่สอง คือ การเหมาเอาการประท้วงอย่างสงบทั่วสหรัฐฯ เพื่อปฏิรูปตำรวจและปรับโครงสร้างทางสังคมให้ปราศจากอคติต่อคนกลุ่มน้อย คือ คนผิวดำ (อดีตทาส) และผิวน้ำตาล (พวก Hispanics นั่นเอง) โดยทรัมป์หันไปเน้นว่า ต้องใช้กำลัง (ทหาร) เข้าปราบปรามผู้ประท้วงอย่างสงบ ที่เขาบิดเบือนให้กลายเป็นอันธพาล, ทำลายร้างทุกอย่าง, จุดไฟเผาอาคาร, ปล้นสะดมสิ่งของร้านค้า และเป็นผู้ก่อการร้าย
ปรากฏว่า ได้มีเหล่านายพลทั้งปัจจุบัน (ผบ.สส. พลเอกMark Milley) และที่เกษียณแล้ว, ดาหน้ากันมาทั้งไม่เห็นด้วยที่ทรัมป์จะใช้กำลังทหารประจำการ มาปราบปรามการประท้วงอย่างสงบ และกล่าวหาว่าทรัมป์ไม่เหมาะในการเป็นปธน. ถึงขนาด Colin Powell (อดีตพลเอกประธานคณะเสนาธิการทหารร่วม-หรือ ผบ.สส.) ออกมาประกาศจะไม่ลงคะแนนเลือกทรัมป์ในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ เพราะทรัมป์ไม่เหมาะเป็นผู้นำในทำเนียบขาว และโกหกตลอดเวลา
ในวันที่ 23 มิถุนายนนี้ หนังสือของ John Bolton อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคง (คนที่ 3 ของทรัมป์) กำลังจะวางตลาดอย่างเป็นทางการ ซึ่งเดิมจะวางแผงตั้งแต่ช่วงเดือนที่แล้ว แต่ถูกฝ่ายความมั่นคงทำเนียบขาวได้ขอให้ส่งรายละเอียดของเนื้อหาไปให้กรองก่อน แต่มาถึงตอนนี้ จอห์น โบลตัน ได้ทยอยส่งทั้งเล่มที่พิมพ์เสร็จแล้ว ไปตามสื่อต่างๆ เพื่อให้นำเนื้อหาบางส่วนออกมาให้ประชาชนได้ทราบ
เดิมเรื่องที่ทำให้โบลตันตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง ก็เพราะเขาได้กลิ่นไม่ได้กรณีที่ทรัมป์ได้ชะลองบช่วยเหลือทางทหาร ที่สภาสหรัฐฯ ได้ผ่านมติเรียบร้อยแล้ว เป็นงบช่วยเหลือแก่รัฐบาลยูเครนที่กองทัพยูเครนจำเป็นมากสำหรับไปสู้กับการรุกรานของกองทัพรัสเซีย
ทรัมป์กดดันผู้นำยูเครนว่า งบนี้จะปล่อยไปช่วยยูเครนก็ต้องแลกกับปธน.คนใหม่ของยูเครน จะต้องตั้งเรื่องว่ากำลังสอบกรณีโจ ไบเดน (คู่แข่งของทรัมป์) มีการได้รับผลประโยชน์ที่ลูกชายของโจได้นั่งเป็นประธานบริษัทแก๊สใหญ่สุดของยูเครน
จอห์น โบลตัน ขยิบตาให้ลูกน้องของเขาไปแจ้งกับผู้ตรวจการณ์เรื่องโทรศัพท์ที่ทรัมป์ต่อรองผลประโยชน์กับปธน.ยูเครน แล้วในที่สุด โบลตันก็ลาออก
แต่ในหนังสือเล่มนี้ นอกจากมีรายละเอียดน่าตื่นตาว่า เขาอยู่ในที่เกิดเหตุเมื่อทรัมป์โทร.ไปต่อรองกับผู้นำยูเครนครั้งนั้น... โบลตันยังแฉถึงการที่ทรัมป์ได้ต่อรองแลกผลประโยชน์ส่วนตัวกับปธน.สี ของจีน เมื่อพบกันในปีที่แล้ว ทั้งเรื่องที่ปธน.สี พยายามหว่านล้อมไม่ให้ทรัมป์โจมตีสีเรื่องแคมป์ (ทรมาน) เปลี่ยนทัศนคติของชาวอุยกูร์ที่ซินเกียงที่รัฐบาลจีนจับไปกว่า 1 ล้านคน โดยทรัมป์บอกว่า เห็นด้วยกับการมีค่ายลับนี้...และอีกเรื่องคือทรัมป์ขอให้สีช่วยซื้อสินค้าเกษตรที่เป็นฐานเสียงของทรัมป์ เพื่อเขาจะได้กลับมาเป็นปธน.ในรอบสองนี้... โดยโบลตันเล่าในหนังสือว่า ทรัมป์พูดเลยว่า ขอให้สีช่วยเขาให้กลับมาในรอบสอง
ยังมีเรื่องการเจรจาระหว่างทรัมป์กับปูติน ที่โบลตันตั้งข้อสังเกตว่าก็เช่นเดียวกัน คือ ทรัมป์ยอมอ่อนข้อให้ก็เพื่อให้รัสเซียช่วยในการเลือกตั้งของทรัมป์
โบลตันย้ำตั้งแต่ตอนต้นของหนังสือของเขาว่า ทรัมป์จะทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของตัวเองในการเลือกตั้ง โดยเอาผลประโยชน์ของชาติมาเป็นรอง จากผลประโยชน์ที่เขาจะต้องชนะเลือกตั้ง และโบลตันรับไม่ได้ (ทำให้คิดถึงคุณถวิล เปลี่ยนสี ที่ได้ยืดอกต่อสู้กับผู้บริหารประเทศที่ฉ้อฉลเช่นกัน)
หนังสือของโบลตันชื่อ ห้องที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น The Room Where it Happened ซึ่งยังมีข้อมูลลับมากมายที่กระชากหน้ากากของทรัมป์ให้เห็นถึงความเจ้าเล่ห์ และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมาก่อนชาติ
หนังสืออีกเล่มหนึ่งเป็นของหลานอาของทรัมป์ เธอชื่อ Mary Trump อายุ 55 เป็นลูกสาวของพี่ชายคนโต (ที่ชื่อ Fred Trump Jr.) ของปธน.ทรัมป์
เธอเขียนหนังสือที่แสบมากๆ ในการเปิดโปงอาที่แสนชั่วของเธอ ชื่อว่า : มากเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ; ครอบครัวของเราได้ช่วยกันสร้างผู้ชายที่อันตรายที่สุดของโลกขึ้นมาได้อย่างไร? (Too Much and Never Enough; How My Family Created the World’s Most Dangerous Man) พิมพ์โดย Simon & Schuster จะวางตลาด (โดยคำนวณไว้อย่างดิบดี) ในวันที่ 28 กรกฎาคม ซึ่งจะใกล้วันลงคะแนนเลือกตั้งเต็มที- เพื่อให้มีส่วนกระชากหน้ากากเปิดโปงทรัมป์ให้หน้าเละชนิดหมอไม่รับเย็บ
เอาแต่เพียงตัวอย่างคือ เธอเล่าว่า อาทรัมป์ได้โกงมรดกที่คุณปู่ Fred Trump Sr. ตั้งเป็นกองมรดกให้แก่เหล่าทายาททั้งหมด ตัวเธอเองและน้องชายถูกโกง จนเธอได้ฟ้องทรัมป์ในปี 2000 และถูกแกล้งต่างๆ นานา
และที่ทรัมป์โม้นักหนาว่า เขาได้รับเงินจากพ่อมาตั้งตัวแค่ 1 ล้านเหรียญนั้น ที่แท้ได้เงินไปจากพ่อถึง 400 ล้านเหรียญ และเกิดขึ้นในช่วงที่พ่อ (Fred Trump Sr.) เริ่มหลงลืมเป็นอัลไซเมอร์
รวมทั้งพ่อของแมรี คือ Fred Trump Jr. ได้หันมาติดเหล้า เพราะคุณปู่ Fred บังคับให้พ่อของเธอมาทำมาหากินด้านอสังหาริมทรัพย์ ทั้งๆ ที่เขาอยากเป็นนักบิน จนในที่สุดพ่อของแมรีก็ตายตั้งแต่อายุแค่ 42 และแมรีกับน้องก็อยู่ในความดูแลของโดนัลด์ ทรัมป์ และกองมรดกซึ่งได้มีการโกงมรดกของเธอด้วย
ขณะนี้แมรี ซึ่งจบปริญญาเอกด้านจิตวิทยา เปิดธุรกิจให้คำปรึกษาแก่คนที่จิตตก และในหน้าเว็บไซต์ของเธอ ได้สะท้อนถึงความเสียใจของเธอมากๆ เมื่อทรัมป์ชนะเลือกตั้งปี 2016 และหนังสือเล่มนี้ก็จะออกมาเพื่อสกัดไม่ให้ทรัมป์ได้เข้าทำเนียบขาวครั้งที่ 2 นั่นเอง