จริง-ไม่จริง...ก็ไม่รู้!!! ที่ว่ากันว่าผู้นำอเมริกา ที่เคยกร่าง เคยยโสโอหังอย่าง “ทรัมป์บ้า” ถึงกับต้องหนีหัวซุก หัวซุนไปหลบๆ แอบๆ อยู่ในห้องใต้ดิน ภายในทำเนียบขาว เมื่อช่วงคืนวันศุกร์ (29 พ.ค.) ที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากม็อบผิวสี ผิวขาวของบรรดาอเมริกันชน ได้จ่อเข้ามาประชิดติดรั้ว เผาโบสถ์ “เซนต์จอห์น” ที่อยู่ห่างไปจากทำเนียบขาวแค่ประมาณ 300 เมตร แต่ถ้าว่ากันตาม “รายงานข่าว” จากแหล่งข่าวผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม ที่สำนักข่าว “เอพี” เขาอ้างว่าเป็น “แหล่งข่าวพรรครีพับลิกันผู้ใกล้ชิดกับทำเนียบขาว” หรือหนังสือพิมพ์ “นิวยอร์ก ไทมส์” อ้างว่าเป็น “แหล่งข่าวจากพรรครีพับลิกัน” อีกเช่นกัน ต่างระบุตรงกันว่า...ผู้นำโลก หรือประมุขโลก ถึงกับต้องหลบไปนอนเสยผมอยู่ในห้องใต้ดินทำเนียบขาวนานนับเป็นชั่วโมงๆ...
เอาเป็นว่า...จริง-ไม่จริง ก็แล้วแต่ แต่งานนี้โดยยี่ห้อของความเป็นประธานาธิบดีอเมริกัน ต้องเรียกว่าออกไปทาง “เสียรังวัด” หรือ “เสียสุนัข” กันเป็นจำนวนไม่น้อย คือขณะกำลังออกแรงยุ ออกแรงเชียร์ “ม็อบฮ่องกง” ให้เล่นงานศัตรูคู่แข่ง หรือมหาอำนาจคู่แข่ง อย่างคุณพี่จีนอยู่ดีๆ ดันต้องเจอกับ “ม็อบมินเนโซตา” “ม็อบวอชิงตัน” ขยายไปถึง “ม็อบแอลเอ” ฯลฯ โน่นเลย ลุกฮือขึ้นทั่วทั้งประเทศอเมริกา โดยถ้าว่ากันตาม “ข่าวล่า-มาเรือ” ที่สำนักข่าว “อัลจาซีรา” เขาถึงกับกางแผนที่อเมริกา ปักหมุด ปักจุด ให้เห็นกันจะจะว่าลุกลามบานปลายไปถึงไหนต่อถึงไหนกันมั่งแล้ว ก็ปาเข้าไปไม่ต่ำกว่า 120 เมือง ที่ผู้คนต่างกรูออกมาด่าว่า ด่าทอ รัฐบาล ประธานาธิบดี ตำรวจ ไปจนถึง “ระบบ” ฯลฯ ฯลฯ จนไม่น้อยกว่า 21 รัฐเข้าไปแล้ว ที่ต้องหันไปขอแรงหน่วยเนชั่นแนล การ์ด มาช่วยรักษาความสงบเรียบโร้ยย์ย์ย์ เพราะระดับตำรวจน่าจะ “เอาไม่อยู่” อีกต่อไป...
แถมไม่ใช่แต่เฉพาะภายในอเมริกาเท่านั้น...ผู้ที่เห็นดี เห็นงามกับการประท้วง หรือผู้ประท้วงในอเมริกา ยังแผ่ซ่านออกไปในประเทศต่างๆ ไม่ว่าอังกฤษ เยอรมนี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฯลฯ ไปโน่นเลย ส่งผลให้ “ความเป็นอเมริกา” อันเป็นอะไรที่เคยยิ่งใหญ่เกรียงไกร และคิดกลับมา “Great Again” อีกครั้งให้จงได้ กลายเป็นอะไรที่ออกไปทางเหี่ยวแห้ง เหี่ยวปลาย ซูบผอม ตรอมตรม ไอแห้งๆ เหนื่อยหอบ ทางเดินหายใจอักเสบ ยิ่งเข้าไปทุกที เพราะโดย “สภาพปัญหา” ที่มันเป็นไปในแบบซ้ำๆ ซากๆ ไม่ว่าปัญหาการเหยียดผิว ความเหลื่อมล้ำ ความรวย-ความจน ฯลฯ ที่ถูกรวมเข้าไปเป็นสาเหตุ-ต้นเหตุ ให้เกิดการปะทุ ลุกฮือ ทั่วทั้งอเมริกาคราวนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะการถูกทารุณกรรม ถูกตำรวจผิวขาวเอาเข่ากดคอเหยื่อชาวผิวสี อย่าง “นายจอร์จ ฟลอยด์” จนขาดใจตายไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่เพราะปัญหาทำนองนี้ที่มันได้ถูกสั่งสม สะสมมานานแล้ว จึงทำให้การลุกฮือ ลุกขึ้นมาประท้วงของบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ถูกอธิบาย ขยายความ ครอบคลุมไปสู่ “ระบบ” ต่างๆ ยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ จนแม้แต่ “ระบอบประชาธิปไตยอเมริกา” ที่เคยสูงส่ง วิเศษวิโส ชนิดพวกนักประชาธิปไตยในบ้านเรา อยากจะ “ลิเบอร่าน” ตามอย่างอเมริกาซะเหลือเกิน กลับเป็นอะไรที่ต้องไอแห้งๆ เหนื่อยหอบ ทางเดินหายใจอักเสบ ไม่ต่างอะไรไปจากผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัสทั้งหลายนั่นแล...
อย่างที่อาจารย์ภาควิชาสังคมแห่งมหาวิทยาลัย “Durham” ประเทศอังกฤษ “ดร.ลิซา แมคเคนซี” (Dr.Lisa McKenzie) ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องชนชั้น เรื่องสังคมวัฒนธรรม ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “Getting By: Estates Class and Culture in Austerity Britain” อันเป็นที่ฮือฮาไปทั่วเกาะอังกฤษ เธอได้ออกมาสรุปถึงการลุกฮือขึ้นประท้วงของบรรดาอเมริกันชนคราวนี้ ไว้ในข้อเขียนบทความเรื่อง “Democracy doesn’t work for black, working-class Americans, and these riots prove it.” หรือประชาธิปไตยไม่ได้เป็นอะไรที่มีประสิทธิผล สำหรับคนผิวสี คนทำงานชาวอเมริกัน และการจลาจลครั้งนี้ก็คือ “ข้อพิสูจน์” ทำนองนั้น เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่าน
มา โดยพยายามชี้ให้เห็นว่า...ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่น จะเป็นระบบกฎหมาย ระบบเศรษฐกิจ ฯลฯ ของอเมริกานั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่เอื้ออำนวยต่อ “ความเป็นไปประชาธิปไตย” ใดๆ เลย อันทำให้การลงคะแนนเลือกตั้งในแบบ 4 ปีครั้ง ไม่เคยช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หรือเกิดการแก้ปัญหาที่ซ้ำๆ ซากๆ เช่น ปัญหาการเหยียดผิว ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมทางกฎหมาย ไปจนสุขภาพและสวัสดิการ ฯลฯ ใดๆ ได้เลย...
ดังนั้น...แม้ว่าเธอเห็นด้วย หรือเห็นคุณค่าของการลงคะแนนในหีบเลือกตั้งในแต่ละครั้ง ว่าถือเป็น “สิทธิของปัจเจกบุคคล” ตามระบอบประชาธิปไตยก็ตามที แต่ “สิทธิของแต่ละคนภายใต้...ระบบที่ผิดพลาด...ย่อมไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้มีสิทธิ หรือใช้สิทธินั้นๆ เอาเลยแม้แต่น้อย...” หรือในเมื่อ “ระบบ” ต่างๆ ในสังคมอเมริกันเป็นระบบที่ผิดพลาด ชนิดบางรายถึงกับเรียกว่า “Racing System” หรือ “System Racism” หรือ “Institution Racism” หรือระบบและสถาบันอันเต็มไปด้วยการเหยียดผิว เหยียดเผ่าพันธุ์ ไปด้วยกันทั้งสิ้น ประชาธิปไตยในอเมริกา ในทัศนะของนักสังคมวิทยาอย่าง “ดร.ลิซา แมคเคนซี” จึงเป็นได้แค่ “ประชาธิปไตยแห่งการโกหกและหลอกลวง” นั่นเอง และความพยายามหาทางออกด้วยกรรมวิธีอื่นๆ อย่างเช่นที่หญิงผิวดำชาวเท็กซัส ผู้มีนามกรว่า “ลูซี พาร์สัน” (Lucy Parsons) เคยกล่าวเอาไว้ตั้งปี ค.ศ. 1851 คืออาจถึงขั้นต้องหันไปจับ “ปืน” กันเลยนั้น จึงทำให้การ “จลาจล” คราวนี้ ถือเป็น “คำตอบ” หรือ “ข้อพิสูจน์” ว่า...ความเป็นประชาธิปไตยแบบอเมริกัน คงไม่ได้ช่วยแก้ไข ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นกว่าเท่าที่เคยเป็นมา...
เจอกับข้อสรุป ของผู้ที่มีความเชี่ยวชาญลึกซึ้งในเรื่องสังคม เรื่องวัฒนธรรม อย่าง “ดร.ลิซา แมคเคนซี” เช่นนี้...บรรดาพวก “ลิเบอร่าน” หรือพวกนักประชาธิปไตยในบ้านเรา คงต้องคิดหน้า คิดหลัง เอาไว้มั่ง ว่าจะยังเพรียกหาประชาธิปไตยแบบอเมริกัน หรือประชาธิปไตยแบบที่พวก “กุมารฮ่องกง” ปรารถนาและต้องการกันแบบดื้อๆ ทื่อๆ อีกต่อไปหรือไม่ เพียงใด เพราะขณะที่ประชาธิปไตยแบบอเมริกัน กำลังเจอกับ “ม็อบจอร์จ ฟลอยด์” ใช้เข่ากดคอจนแทบหายใจไม่ออก “ประชาธิปไตยรวมศูนย์” แบบจีนๆ ที่เคยแทบขาดอากาศหายใจเพราะ “ม็อบโจชัว หว่อง” ก็ชักเริ่มกระดี้กระด้าขึ้นมาในทันที-ทันใด นอกจากบรรดาชาวจีนแผ่นดินใหญ่ทั้งหลาย จะออกมาแสดงความซาบซึ้ง ประทับใจต่อ “ภาพอันงดงามแห่งประชาธิปไตย” ที่กำลังอุบัติขึ้นมาในอเมริกา ชนิดไม่ต่างอะไรไปจากที่ประธานสภาฯ อเมริกัน “นางแนนซี เพโลซี” ได้เคยแสดงความซาบซึ้ง ประทับใจ ในลักษณะเดียวกันต่อการประท้วงในฮ่องกงก่อนหน้านั้น บรรณาธิการ “Global Times” สื่อทางการของจีน อย่าง “นายหู สีจิน” (Hu Xijin) อดีตนักศึกษาปริญญาโทแห่งมหาวิทยาลัยรัสเซีย อดีตผู้สื่อข่าวสงคราม ที่เคยผ่านการรายงานข่าวในสงครามบอสเนีย สงครามอิรักมาโดยตลอด อันผู้ที่ต้องยอมรับว่าออกจะเป็นอะไรที่ “เปรี้ยว” เอามากๆ ยังอดไม่ได้ที่จะต้องสารภาพไว้ในข้อเขียน บทความ เรื่อง “US Should stand withMinnesota violent protester as it did with Hong Kong rioters” เมื่อช่วงวันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า “เมื่อวันศุกร์...ผมได้ทวีตไปให้กับรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกาว่า...ท่านรัฐมนตรีปอมเปโอ โปรดกรุณาได้ลุกขึ้นมายืนเคียงข้างประชาชนผู้กริ้วโกรธแห่งรัฐมินเนโซตาด้วยเถิด เหมือนอย่างที่ท่านเคยยืนเคียงข้างม็อบฮ่องกงของเรามาแล้ว...” ฮ๊ายย์ย์ย์...อะไรจะเปรี้ยวเท่านี้ ย่อมไม่มีอีกแว้วว์ว์ว์!!!