เมืองไทย 360 องศา
เชื่อว่าเหตุการณ์จลาจลที่กำลังเกิดขึ้นในหลายเมืองทั่วสหรัฐอเมริกาในเวลานี้ คงทำให้หลายคนมีความรู้สึกออกมาในหลากหลายอารมณ์ปะปนกันไป บางคนอาจ “สะใจ” ที่ได้เห็นเหตุการณ์วุ่นวายในลักษณะนี้เกิดขึ้นกับสหรัฐอเมริกาบ้าง ขณะที่อีกหลายคนมองในแบบวิเคราะห์สถานการณ์หลายสิ่งหลายอย่างที่ “ซ่อนอยู่” ภายในสังคมอเมริกัน รวมไปถึงได้เห็นธาตุแท้ของพวกองค์กรด้าน “สิทธิมนุษยชนสากล” ทั้งหลาย ที่มักมีท่าทีกดดันเอากับประเทศต่างๆ ที่ถูกมองว่า มีการหวังผลทางการเมืองบางอย่างแอบแฝง โดยเปรียบเทียบท่าทีจากเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงในประเทศสหรัฐอเมริกาในเวลานี้
เหตุการณ์ชุมนุมประท้วงของชาวอเมริกันที่ลุกลามบานปลายจนกลายเป็นเหตุจลาจลวุ่นวายในหลายเมืองเวลานี้ เกิดขึ้นจากสาเหตุที่มีตำรวจผิวขาวใช้เข่ากดคอ “จอร์จ ฟลอยด์” ซึ่งเป็นอเมริกันผิวสี เนื่องจากต้องสงสัยว่าใช้ธนบัตรปลอม โดยเขาถูกตำรวจใช้เข่ากดที่บริเวณลำคอนานประมาณ 8 นาที จนเสียชีวิต และระหว่างเกิดเหตุมีผู้ถ่ายคลิปไว้ได้ และเมื่อคลิปดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ก็ได้สร้างความโกรธแค้นให้กับคนผิวดำทั่วสหรัฐอเมริกา รวมไปถึงคนผิวขาวที่รับไม่ได้กับการกระทำที่เกินกว่าเหตุ และเป็นการละเมิดสิทธิ์ รวมไปถึงการ “เลือกปฏิบัติ” กับคนผิวสี หรือคนผิวสีอื่นๆ ที่เรียกว่า “คลั่งผิวขาว”
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เมืองมินนิแอนาโปลิส รัฐมินเนโซตา เมื่อวันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุจลาจลลุกลามออกไปหลายเมืองทั่วประเทศ ไม่ต่ำกว่า 25 เมือง เป็นการชุมนุมประท้วง “ทวงความยุติธรรม” ให้กับ จอร์จ ฟลอยด์ ความวุ่นวายที่เกิดจากการ “เผา” เกิดขึ้นไม่เว้นแม้แต่ในกรุงวอชิงตัน เมืองหลวง รวมไปถึงเหตุการณ์ที่ใกล้กับ “ทำเนียบขาว” ที่ทำงานของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกาเพียงแค่หนึ่งช่วงตึกเท่านั้น
เหตุการณ์ลุกลามบานปลายส่วนหนึ่งก็มาจากสาเหตุที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทวีตข้อความในแบบยุยงส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่จัดการ “ขั้นเด็ดขาด” กับผู้ประท้วงที่ก่อความวุ่นวาย โดยบอกว่า “ให้ยิงได้ทันที” ก็ยิ่งโหมกระพือความไม่พอใจ ทำให้เวลานี้มีคนอเมริกันออกมาชุมนุมประท้วงจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่น่าสนใจก็คือ มีคนผิวขาวไม่น้อยที่ออกมาร่วมด้วย แม้แต่คนดัง เช่น “เทย์เลอร์ สวิฟต์” นักร้องนักแสดงคนดัง ยังออกมาเรียกร้องให้มีการโหวตไล่ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี ในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าพิจารณาในกรณีของสหรัฐอเมริกา และของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่หลายคนกำลังมองด้วยความ “สะใจ” ก็คือ “ชอบจุ้นเรื่องของชาวบ้าน” โดยไม่มองว่าบ้านของตัวเองก็เต็มไปด้วยปัญหาไม่ได้ต่างกัน หรืออาจจะมากกว่าบ้านเมืองอื่นก็ได้ เหมือนอย่างที่เวลานี้กำลังเข้าไปวุ่นวาย แทรกแซงปัญหาในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ที่หนุนหลังการชุมนุมประท้วงที่นั่น โดยมีเป้าหมายที่ถูกมองว่าเพื่อต้องการ “เล่นงานจีน” ที่ออกกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงในฮ่องกง
ป้องกันการแยกดินแดน และการลงโทษผู้ที่ต่อต้านจีน เป็นต้น โดยสหรัฐฯ มักจะอ้างเรื่องของการละเมิดสิทธิมนุษยชนเพื่อลงโทษอีกประเทศหนึ่ง
กรณีของฮ่องกงนั้น สหรัฐฯ โดยรัฐบาลของทรัมป์ ได้ยกเลิกการให้สิทธิพิเศษทางการค้ากับเขตพิเศษดังกล่าว และอาจตามมาด้วยการแซงชัน บริษัท และผู้บริหารจากจีนและฮ่องกงตามมา หลังจากสภาประชาชนของจีนได้ผ่านร่างกฎหมายความมั่นคงดังกล่าว ขณะเดียวกัน เชื่อว่า จะต้องถูกทางการจีนตอบโต้กลับมาอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน เพราะกรณีของจีนที่เป็นมหาอำนาจ โดยเฉพาะทางเศรษฐกิจก็ย่อมต้องสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจของสหรัฐฯได้ไม่น้อยเหมือนกัน
อีกด้านหนึ่ง หากพิจารณากันในแง่ของความเหลื่อมล้ำ การละเมิดสิทธิ์ของคนผิวสี ไม่ว่าจะเป็นผิวดำ ผิวเหลือง หรือกลุ่มเชื้อชาติในละตินอเมริกา ก็ถูกมองว่าไม่ต่างจากการเป็นพลเมืองชั้นสอง ชั้นสาม ที่ถูกดูหมิ่น ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากทัศนคติดังกล่าวของคนผิวขาวบางกลุ่มที่มีความเชื่อว่าตัวเอง “เหนือกว่า” ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่เวลานี้ทำให้สหรัฐอเมริกามีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก
ส่วนสำคัญก็มาจากความเชื่อแบบดันทุรัง “ไม่ยอมสวมหน้ากากอนามัย” เนื่องจากที่ผ่านมาพวกเขาเชื่อว่าคนที่สวมหน้ากาก ต้องเป็นคนป่วยเท่านั้น เหมือนกับการที่เคยเกิดเหตุการณ์ทำร้าย และดูถูกคนเอเชียที่สวมหน้ากากป้องกันเชื้อโรคว่าเป็น “คนประหลาด” เป็นต้น
นอกเหนือจากนี้ ที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ การปฏิบัติด้วยความรุนแรงและเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมกับคนผิวสีในสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องแทบจะไม่เคยเห็นการออกมาเคลื่อนไหวประณามของบรรดา “องค์กรสิทธิมนุษยชน” ทั้งหลายในตะวันตกออกมาเรียกร้องต่อรัฐบาลในประเทศตะวันตกเหล่านี้ ผิดกับเหตุการณ์ที่หากเกิดขึ้นในประเทศอื่น โดยเฉพาะประเทศที่อยู่ตรงข้าม รวมทั้งประเทศโลกที่สามต่างๆ ก็จะถูกประณาม และเรียกร้องให้ประเทศตะวันตกบอยคอต หรือลงโทษทางเศรษฐกิจทันที
ดังนั้น หากมองว่า เหตุการณ์จลาจลที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯที่มาจากการ “เหยียดผิว” และเลือปฏิบัติต่อคนผิวสี เป็น “เรื่องภายใน” ก็อ้างได้ เหมือนกับที่จีนยืนยันจากกรณีฮ่องกง แต่กรณีดังกล่าวได้ทำให้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถึงกับจุกอก เพราะหากจีนเรียกร้องว่า “หยุดฆ่า” หยุดทำร้ายคนผิวดำ และที่สำคัญ หากมีการเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯหยุดละเมิดสิทธิมนุษยชนบ้างคงสนุกพิลึก !!