ผู้นำทำเนียบขาวจอมห้าว โดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะนั่งแช่งชักหักกระดูกนายจอร์จ ฟลอยด์ หนุ่มผิวดำ ที่ดันมาโดนตำรวจเมืองมินนิอาโปลิส เดเร็ก เชาวิน Derek Chauvin จับกุมมัดมือไพล่หลัง นอนคว่ำ เอาเข่ากดคอผู้ต้องสงสัยนานนิ่ง 9 นาที
ตำรวจอีก 2 นายใช้เข่ากดลำตัว ขา ดิ้นไม่ได้ อีก 1 นายยืนเฝ้าระวัง คนเริ่มมุง
ฟลอยด์ร้อง “ผมหายใจไม่ออก” 2-3 ครั้ง แต่ตำรวจทั้ง 4 นายในทีมจับกุมไม่มีใครใส่ใจ กดคอไว้ ทำให้ฟลอยด์สิ้นสตินาน 3 นาที ก่อนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิตเมื่อไปถึง เมื่อคลิปภาพการจับกุมถูกส่งแพร่กระจาย วิบัติพลันบังเกิด
อารมณ์คนผิวดำระเบิด เหตุการณ์เช่นนั้นเกินกว่าจะยอมทนรับได้!
ทรัมป์คงอยากให้กำลังใจเชาวิน เต็มที่เพราะทำหน้าที่เข้มแข็งเด็ดขาด และมองว่าฟลอยด์เป็นตัวซวยที่ทำให้เชาวินต้องถูกไล่ออก และถูกดำเนินคดีข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา เพื่อนร่วมทีมอีก 3 นายก็ถูกไล่ออก แต่ยังรอว่าจะโดนคดีหรือไม่
ทรัมป์แทบสิ้นสภาพความเป็นผู้นำ เก็บตัวเงียบขณะที่การประท้วงลามไปเกือบทั่วประเทศ เป็นสถานการณ์เหนือความคาดหมาย ซ้ำเติมประเทศที่มีคนติดเชื้อโควิด-19 เกือบ 2 ล้านคน มีคนเสียชีวิตแล้วกว่า 1.04 แสนคน ตัวเลขยังเพิ่มเรื่อยๆ
ทรัมป์ไม่ได้เก่งฉกาจตามคำคุยโว และกำลังหาแพะรับบาป โดยโทษผู้ว่าการรัฐต่างๆ ว่าไร้ฝีมือ แต่เน้นเฉพาะรัฐที่มีผู้ว่าสังกัดพรรคเดโมแครต และคนอเมริกันก็ตอบสนองคำร้องของทรัมป์ก่อนหน้านี้ว่าให้ออกมาใช้สิทธิสู้กับโควิด-19 เต็มที่
ทรัมป์เป็นขวัญใจของเชาวิน ช่วงที่ทรัมป์ไปหาเสียงในเมืองมินนิอาโปลิส เชาวินขึ้นยืนบนโพเดียม ประกาศหนุนทรัมป์เต็มที่ แสดงให้เห็นชัดว่าเป็นตำรวจออกแนวเหยียดผิว ตนเองมีคดีถูกร้องเรียนถึง 18 คดีก่อนก่อเหตุทำให้ฟลอยด์เสียชีวิต
ทั้งฟลอยด์และเชาวิน รับจ็อบเป็นการ์ดเฝ้าบาร์ในเมืองเดียวกัน แต่อยู่คนละกะ รู้จักกันหรือไม่ ยังไม่มีรายงาน แต่ความต่างของสีผิว คงไม่ทำให้เชาวินรับเป็นเพื่อนร่วมงาน ผลงานของเชาวินน่าจะประทับใจคนจ้าง เพราะเป็นคนมีสี ใจถึงพึ่งได้
ตอนนี้ฟลอยด์ไม่ได้รับรู้ว่าการตายของตัวเองได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้สหรัฐอเมริกา เกิดการเดินขบวนประท้วง ฝูงชนก่อการจลาจล เผาอาคาร รถยนต์ สิ่งก่อสร้างต่างๆ มีพวกสวมรอยบุกเข้าห้าง ฉกสินค้าทุกระดับ ยิ่งราคาแพงยิ่งโดน
เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง เมื่อคนผิวดำถูกตำรวจผิวขาวทำให้เสียชีวิตแบบน่ากังขา จะมีการประท้วง ก่อการจลาจล บุกเข้าห้าง ครั้งที่รุนแรงก่อนหน้านี้เกิดในปี 1992 เมื่อตำรวจลอสแองเจลิส 4 นายใช้กระบองทุบนายรอดนีย์ คิงก์ มีคนบันทึกภาพไว้
จากนั้นมีการจลาจล ปล้นร้านพวกที่เจ้าของเป็นชาวเอเชียโดนหนัก ต้องใช้อาวุธปืนคุมร้าน เกิดการปะทะกันทั่วเมืองหลายวัน เหตุการณ์อย่างนี้เกิดหลายครั้ง ซ้ำรอยแบบเดิม มีคนบาดเจ็บ เสียชีวิต ถูกจับกุม ความเสียหายต่อธุรกิจมหาศาล
ทรัมป์มีส่วนสุมไฟในอารมณ์ของคน ก่อนหน้านี้ประกาศว่า “บุกฉกของในห้างเริ่มเมื่อไหร่ ก็มียิงกันเมื่อนั้น” เป็นคำพูดของนายตำรวจในเมืองไมอามี เมื่อเกิดการจลาจลหลายปีก่อนหน้านี้ เมื่อทรัมป์นำมาพูดย้ำ เหมือนเอาน้ำมันราดกองไฟ
เกิดการเดินขบวนประท้วงหลายเมือง จากช่วงแรก ก็เดินด้วยความสงบ แต่ก็มีคนสวมรอยเหมือนเดิม บุกเข้าห้าง โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจมีปัญหาจากโควิด-19 คนอเมริกันว่างงานถึง 40 ล้านคนใน 10 สัปดาห์ ความอดอยากกระจายทั่วประเทศ
ผู้ว่าการรัฐต่างๆ ก็ระดมสรรพกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจทุกหน่วย สายตรวจ ผู้ช่วยนายอำเภอ เนชันแนลการ์ด แล้วแต่จะมีเพื่อควบคุมสถานการณ์ มีทั้งวางเพลิง ปะทะกันด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ใช้แก๊สน้ำตา แก๊สพริกไทย กระสุนยาง และรถฉีดน้ำ
ทรัมป์ขู่ว่าถ้ารัฐใดรับมือการประท้วง จลาจลไม่ไหว หลังจากมิคสัญญีลามไปกว่า 30 เมืองใหญ่ และเมืองเล็ก จากเหนือจดใต้ ตะวันออกไปตะวันตก ต้องประกาศภาวะฉุกเฉินในลอสแองเจลิส ห้ามออกนอกบ้านในยามวิกาลหลายเมือง
แม้กระทั่งในเมืองหลวง กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. คนไปประท้วง เผารถหน่วยอารักขาประธานาธิบดี คนเดินขบวนมีทั้งผิวดำ ผิวสี และผิวขาว พร้อมจะก่อเรื่อง แต่ยังดีที่ไม่มีใครลากปืนเอามายิงกับเจ้าหน้าที่ ทั้งๆ ที่สหรัฐฯ เป็นสังคมปืน แทบทุกบ้านมีปืน
การประท้วง จลาจลครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นความแตกแยกในสังคมด้านผิวสี เป็นมาก่อนการเลิกทาสซึ่งทำให้เกิดสงครามกลางเมือง แม้จะมีกฎหมายคุ้มครองสิทธิ ความเสมอภาค แต่ในใจคนอเมริกัน เรื่องนี้คงแก้ได้ยาก เพราะมีเหตุซ้ำซาก
ทรัมป์ขาลง และจะเป็นขาออกเมื่อคนอเมริกันไปใช้สิทธิเลือกประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายนปีนี้หรือ ต้องรอดูเพราะสังคมอเมริกันยังมีคนผิวขาวอนุรักษนิยมและเหยียดสีผิวซึ่งมองทรัมป์ว่าเป็นขวัญใจ ไม่มองว่าสร้างความแตกแยก
หรือจะเป็นกรรมติดจรวดไล่ทรัมป์ เพราะนี่เหมือนกับการยกเอาการชุมนุมประท้วงในฮ่องกงมาอยู่ในกว่า 30 เมืองของอเมริกา ก่อนหน้านี้ทรัมป์ยุยง ให้ท้ายคนฮ่องกงท้าทายอำนาจรัฐบาลจีน อ้างว่าคนฮ่องกงใช้สิทธิเรียกร้องความเป็นธรรม
คราวนี้ทรัมป์โดนเข้าบ้าง หนักหนาสาหัสกว่าฮ่องกงกว่า 20 เท่า ความเสียหายต่อธุรกิจมหาศาล และต้องหาทางเยียวยาด้านการระบาดของโควิด-19 และการจลาจล ต้องรอดูเช่นกันว่าการชุมนุมกว่า 30 เมืองจะทำให้การระบาดมากหรือไม่
สภาพเช่นนี้ทรัมป์คงไม่ยอมจนตรอกง่ายๆ ต้องหาเรื่องมาเบี่ยงเบนประเด็นความสนใจของประชาชนจากความล้มเหลวในการจัดการปัญหาการระบาด วิกฤตเศรษฐกิจ และมาถูกซ้ำด้วยการจลาจล มารอกันว่าจอมห้าวพลิ้วจะรอดได้อย่างไร