“หมอวรงค์” ตอกกลับ “ชาญวิทย์” อ้างรัฐประหาร-ตุลาการภิวัตน์ จำกัด “ทอน-บูด-ช่อ” ทั้งที่ทำผิดกฎหมายเอง “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” จดหมายเปิดผนึกถึง “ทูตสหรัฐฯ” ย้อนศร “ยึดสิทธิมนุษยชน อย่าทำรุนแรงกับผู้ชุมนุม”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (31 พ.ค. 63) เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย โพสต์หัวข้อ “เห็นต่างกับท่านอาจารย์ชาญวิทย์”
โดยระบุว่า “วันนี้ขออนุญาตเขียนถึงท่านอาจารย์ชาญวิทย์สักหน่อยครับ เพราะท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เพิ่งจะผ่าน 79 ปีไปไม่กี่วัน น่าจะผ่านร้อนผ่านหนาวมามากพอควร ที่สำคัญท่านอาจารย์เป็นถึงอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับประเทศเสียด้วย
การที่ท่านอาจารย์โพสต์ข้อความถึงศิษย์รักของอาจารย์ “แก๊งสามตะกร้า” ว่า
“เขาอยู่ไม่เป็น ไม่ยอบสยบ กับอำนาจเดิม บารมีเดิม เขาและพรรคพวก จึงถูกจำกัดด้วยรัฐประหารทางศาล ตุลาการภิวัตน์”
ถามจริงๆ ครับว่า ท่านอาจารย์ไม่รู้จริงๆ เลยเหรอครับว่าศิษย์รักของอาจารย์นั้นเป็นอย่างไรบ้าง
ผมจะแจงให้ท่านอาจารย์ทราบแบบกระชับๆ นะครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่มุมมองของท่านอาจารย์ได้บ้าง
1. ทำผิดกฎหมาย ถ้าเขาไม่ทำผิดกฎหมาย ใครจะไปทำอะไรเขาได้ ที่สำคัญยิ่งเป็นการสะท้อนว่าพวกเขาไม่อ่านรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.พรรคการเมืองด้วย
เพราะถ้าเขาอ่านเขาต้องไม่พลาดครับ โดยเฉพาะการโอนหุ้นก่อนสมัคร ส.ส. และการให้พรรคกู้เงิน
เลยยิ่งตลกมากที่พวกเขาบอกจะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ทั้งๆ ที่มาตราเกี่ยวกับตัวเอง เขายังไม่ได้อ่านเลย คุณจะออกรบ แต่ไม่อ่านกฎหมาย สุดท้ายก็ต้องตายอย่างเดียวครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์เชื่อผมไหม ถ้าศิษย์รักของท่านอาจารย์อ่านกฎหมายสักหน่อย หรือมีไหวพริบสักนิด (ไม่โง่จนเกินไป) เขาก็ต้องรีบโอนหุ้น
และคิดว่าคดีที่ให้พรรคกู้เงินก็น่าจะรอด แต่คนบางคนฉลาดเหมือนโง่ โง่เหมือนฉลาด จึงไม่รอด
ดังนั้น ท่านอาจารย์อย่าไปตำหนิศาลท่านเลยครับ ก็ในเมื่อเขาทำผิดกฎหมาย แถมมุมในการแก้ข้อกล่าวหาก็ไม่ฉลาด
ศาลท่านก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายครับ หรือว่าเป็นท่านอาจารย์ ทำผิดกฎหมายไม่เป็นไร??
2. ศิษย์รักของท่านอาจารย์ชอบโกหก ตลบตะแลง เรื่องนี้คนเขารู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองครับ
ท่านอาจารย์มัวไปอยู่ไหนครับ ตอนนี้เขาเรียกศิษย์รักของอาจารย์ว่า “แก๊งสามตะกร้า”
ซึ่งมีที่มาที่ไปจากสำนวนไทย “มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก” อยากให้ท่านอาจารย์ได้ทราบว่า เครดิต ความน่าเชื่อถือของพวกเขา หายไปเยอะเลยครับ
สงสัยท่านอาจารย์ไม่ได้ติดตามข่าวสาร เลยตกข่าว
ยิ่งช่วงโควิดหนักๆ ทั้งทอน ช่อ และบูดเละเลยครับท่านอาจารย์ ทอนมาเจ๊งหนักเรื่อง 3,000 บาทถ้วนหน้า ไม่ต้องพิสูจน์ความจน
กลายเป็นหลอกสาวก จนป่านนี้คนก็ถามตลอดว่า ใครได้บ้าง และมีใครบริจาคบ้าง ไหนบอกว่าโปร่งใส
ยังมีคนถามถึงเรื่องบริจาคห้องตรวจความดันลบด้วยครับท่านอาจารย์ ว่าไปบริจาคที่ไหนบ้าง แต่ทุกอย่างยังเงียบกริบ
ก็ในเมื่อทอนต้องการความโปร่งใส แต่ตัวทอนเองกลับไม่โปร่งใส ก็เลยเละเลยครับ ท่านอาจารย์ครับ
ส่วนน้องช่อของท่านอาจารย์ ก็โผล่มาผิดกาลเทศะเรื่อง “ตามหาความจริง” พ.ค. 53
เลยเจอคลิปของจริงเหตุการณ์ชายชุดดำ คลิปการเสียชีวิตของพลเอกร่มเกล้า คลิปเผาบ้านเผาเมือง คลิปเผาไปเลยพี่น้อง คลิปเผาศาลากลาง สุดท้ายน้องช่อเละเช่นกัน
ส่วนบูดของท่านอาจารย์ก็เจอเรื่อง “รัฐประหารโควิด” ถ้าท่านอาจารย์มีเวลา ลองไปค้นไลฟ์ผ่านทวิตเตอร์ของเขา
น่าจะเป็นครั้งที่ศิษย์รัก ที่เคยสอนในสถาบันเดียวกับท่านอาจารย์โดนทัวร์ลงหนักที่สุดในชีวิต จนสื่อเขาพาดหัวว่า “เละคาบ้าน” ครับท่านอาจารย์
3. แก๊งสามตะกร้าของท่านอาจารย์ ยังชอบขุดเรื่องในอดีตมาสร้างความเกลียดชังของคนในชาติ
ตลกมากเลยครับท่านอาจารย์ ที่พวกเขาสร้างภาพว่าเป็นคนรุ่นใหม่ ตั้งชื่อพรรค ชื่อกลุ่มให้ดูใหม่ๆ แต่คำพูดคำจาแต่ละอย่าง จมปลักแต่ในอดีต
ทอนเขาดึงย้อนอดีตไปถึง 88 ปี ลากยาวไปถึงปี 2475 ไปหาคณะราษฎร์ แม้แต่ท่านอาจารย์ก็ยังไม่เกิดเลย
ส่วนบูดนั้นลากย้อนไปไกลกว่าทอนมาก ไปถึงปี ค.ศ. 1792 ซึ่งลากยาวไปถึง 228 ปี ที่สำคัญไม่เกี่ยวข้องอะไรกับประเทศไทยเสียเลย แต่เป็นของฝรั่งเศสโน่น
ท่านอาจารย์ครับ ถ้าเราศึกษาอดีตเพื่อเป็นบทเรียน ปรับปรุงแก้ไขแล้วนำประเทศเดินไปข้างหน้า ผมว่าก็ ok นะ
แต่การจมปลัก แล้วมีแต่สร้างเกลียดชัง ผมไม่เห็นว่าประชาชนจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยครับ
4. ผมสัมผัสได้ว่า แก๊งสามตะกร้าของท่านอาจารย์ ชอบเห่อฝรั่ง อยากแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับให้เป็นแบบฝรั่งครับ
ท่านอาจารย์ก็อายุจนป่านนี้แล้ว ประเทศเรามีวัฒนธรรม ประเพณีดีๆ ที่ชาวต่างชาติหลงใหล
มีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ และห่วงใยประชาชนตลอด
เรามีศาสนาที่หลากหลาย เพื่อกล่อมเกลาจิตใจ ให้สังคมไทยเรา อยู่ร่วมกันแบบเอื้ออาทรกัน
แต่ศิษย์รักของท่านอาจารย์ก็ยังไม่ชอบ อยากเปลี่ยนให้เหมือนฝรั่งมังค่า ไหนๆ ท่านอาจารย์ก็มีประสบการณ์สูงมาก ท่านอาจารย์ดูยุโรปและอเมริกาตอนนี้ซิว่าเป็นอย่างไร
ยิ่งอเมริกาที่ทอนของท่านอาจารย์หลงใหล วันนี้ทั้งการติดเชื้อโควิด ทั้งความขัดแย้งสีผิว การใช้อำนาจของตำรวจ ดูไม่จืดเลยครับ ผมคิดว่าหนักกว่าหลายประเทศครับ
อยากฝากท่านอาจารย์ไปบอกศิษย์รักว่า พวกเรารักและภูมิใจในอัตลักษณ์ไทย ภูมิในการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รักในสิทธิ เสรีภาพของจริงแบบประเทศไทย
พอใจในจารีตประเพณี วัฒนธรรมไทย ยืนยันที่จะเรียกลุง ป้า น้า อา และที่สำคัญคือพวกเรามีศาสนาในหัวใจ แต่พร้อมที่เปิดกว้าง และให้ประเทศทันสมัยครับ
ผมคิดว่าอเมริกาเขาโชคดีนะ ที่ไม่มีแก๊งอย่างลูกศิษย์ท่านอาจารย์ไปอยู่อาศัย เพราะเหตุการณ์ที่อเมริกานั้นเปราะบางมาก โดยเฉพาะการเหยียดผิว
ถ้าแก๊งสามตะกร้าไปอยู่ คงปลุกระดมสร้างความเกลียดชังได้สนุกปาก แต่ผมคิดว่าประเทศเขาคงไม่ปล่อยไว้หรอกครับ ไม่เหมือนประเทศไทยเรา เพราะไทยเราจิตใจดีกว่าครับ
ผมคงเขียนเตือนสติท่านอาจารย์แค่นี้พอครับ เกรงว่าท่านอาจารย์จะอ่านไม่ไหวเพราะอายุมากแล้ว ไม่อยากให้ท่านอาจารย์หลงผิดครับ
อยากให้ท่านอาจารย์เอาประสบการณ์มาชี้แนะลูกศิษย์ลูกหาเพื่อช่วยกันพัฒนาประเทศ สร้างบ้านแปงเมืองจะดีกว่าครับ
ที่สำคัญท่านอาจารย์ช่วยบอกศิษย์รักด้วยว่า อย่ามาเสียเวลาสร้างความเกลียดชัง จาบจ้วงอีกเลย ไม่มีใครเขายอมหรอกครับ ประเทศต้นแบบก็กำลังไปลำบาก
ประชาชนเชื่อว่า ประเทศไทยเราเดินมาถูกทางแล้ว เหลืออย่างเดียวคือ ได้นักการเมืองดีๆ มาช่วยกันดูแลประเทศเท่านั้น เผื่อศิษย์รักของท่านอาจารย์จะได้เข้าใจครับ
ขอให้ท่านอาจารย์สุขภาพแข็งแรงครับ”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ในวันเดียวกันนี้ เฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ของ นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์หัวข้อ “จดหมายเปิดผนึกถึงเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ”
ความว่า “เรียน เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ
วันก่อนท่านทูตได้สอบถามรองนายกวิษณุ ว่า ทำไมรัฐบาลไทยยังคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ ทั้งๆ ที่ควบคุมการระบาดของโควิดได้ดีแล้ว
ทำนองสงสัยว่า การคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะเป็นการละเมิดสิทธิ จำกัดเสรีภาพในการเคลื่อนไหวของประชาชน
วันนี้ เกิดเหตุจลาจลในหลายเมือง หลายรัฐของสหรัฐฯ อันมีสาเหตุจากการใช้ความรุนแรงของตำรวจเมืองมินเนอาโปลิส ในการจับกุมผู้ต้องสงสัยคนอเมริกันผิวสี George Floyd จนถึงแก่ความตาย
ซึ่งน่าเชื่อว่า มีต้นเหตุมาจากการเลือกปฏิบัติของตำรวจผิวขาว แต่ภาพข่าวที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ ได้เห็นภาพการปราบปรามที่รุนแรง ได้เห็นภาพตำรวจทำร้ายผู้หญิง ทุบตีประชาชน
เราได้เห็นภาพว่า ตำรวจคนดังกล่าวเป็นหนึ่งในกลุ่มคน racists ที่สนับสนุนทรัมป์ และมีภาพตำรวจคนดังกล่าวกอดกับทรัมป์ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง
ขอเรียกร้องให้ผ่านเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ อย่าใช้ความรุนแรงในการปราบปรามชาวอเมริกันที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงของตำรวจในการจับกุมประชาชน
เราหวังว่า สหรัฐฯ จะใช้หลักสิทธิมนุษยชน หลักการเสรีภาพในการพูด ในการแสดงออก และหวังอีกว่า สหรัฐฯ จะไม่ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมที่รักความถูกต้อง ความเท่าเทียมกันในความเป็นพลเมืองอเมริกัน”
ทั้งสองโพสต์ คือ ของ “หมอวรงค์” และอดีตรอง ผอ.ข่าวกรองฯ ต้องบอกว่า เอาความจริงมาตบปากกันเลยก็ว่าได้ ไม่มีคำขยายความใดที่มากไปกว่า คำว่า “เปิดหน้า” ให้ชกอย่างไม่มีทาง “ปิดป้อง” ได้ เว้นเสียแต่จะตะแบง หรือ ตอแหลเอาตัวรอดเท่านั้น แต่ก็นับว่าเสียผู้เสียคนไปแล้ว
อย่างนี้ต้องบอกว่า “เหนือฟ้ายังมีฟ้า” อย่าอหังการ์ว่าจะไม่มีใครรู้เท่าทันเกม ก็ว่าได้