เอเจนซีส์ - ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาสกัดม็อบหน้าทำเนียบขาวเมื่อวันอาทิตย์ (31 พ.ค.) ขณะที่ผู้ประท้วงรวมตัวบนถนนทั่วอเมริกาเพื่อระบายความคลั่งแค้นต่อความโหดร้ายของตำรวจ แม้มีการประกาศเคอร์ฟิวในหลายสิบเมือง และหลายรัฐขอทหารควบคุมสถานการณ์ ด้านทรัมป์สุมไฟให้คุโชนกว่าเก่าด้วยการประกาศว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือกลุ่มก่อการร้ายภายในประเทศ พร้อมจี้นายกเทศมนตรี และผู้ว่าการรัฐจากเดโมแครตให้นำทหารเข้าไปจัดการผู้ก่อความรุนแรง
บริเวณสวนสาธารณะขนาดเล็กที่อยู่ติดกับทำเนียบขาวในวอชิงตัน ดี.ซี. ได้เกิดการปะทะกันระหว่างพวกผู้ประท้วงกับตำรวจหลายครั้งในวันอาทิตย์ และเจ้าหน้าที่ต้องใช้แก๊สน้ำตา สเปรย์พริกไทย และระเบิดเสียงเพื่อสลายฝูงชนที่จุดไฟและทำลายสถานที่หลายแห่ง
นายกเทศมนตรีกรุงวอชิงตันต้องประกาศห้ามประชาชนออกจากบ้านระหว่างเวลา 23.00 น. ถึง 6.00 น. และนิวยอร์กไทมส์รายงานว่า หน่วยอารักขาประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าไปหลบในบังเกอร์ใต้ดินของทำเนียบขาวเมื่อคืนวันศุกร์ (29 พ.ค.) ระหว่างที่มีการประท้วงในสวนสาธารณะใกล้ๆ
พวกผู้นำท้องถิ่นพากันขอให้ประชาชนระบายความไม่พอใจอย่างสร้างสรรค์ ขณะที่นอกจาก วอชิงตัน ดี.ซี. แล้ว ยังมีการประกาศเคอร์ฟิวในหลายสิบเมือง เช่น ลอสแองเจลิส ฮิวสตัน
ในเมืองเซนต์ปอล ซึ่งเป็นเมืองแฝดคู่กับเมืองมินนิอาโปลิส รัฐมินนิโซตา ผู้คนนับพันชุมนุมอย่างสงบเมื่อบ่ายวันอาทิตย์ ขณะเดียวกันก็มีรายงานว่า ห้างร้าน 170 แห่งถูกปล้น
เมื่อบ่ายวันอาทิตย์ รถบรรทุกน้ำมันคันหนึ่งพุ่งเข้าใส่กลุ่มผู้ประท้วงในมินนิอาโปลิส แต่ภายหลังคนขับถูกผู้ประท้วงลากตัวลงมาและรุมทำร้าย ก่อนที่ตำรวจจะเข้าไปควบคุมตัวชายคนดังกล่าวและนำออกไป
คืนวันอาทิตย์ยังเกิดเหตุบุกปล้นร้านค้าในเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย และซานตาโมนิกา รัฐแคลิฟอร์เนีย นอกจากนั้นภาพข่าวจากฟ็อกซ์ทีวีเผยให้เห็นคนเข้าไปกวาดสินค้าในร้านโรเล็กซ์ และ กุชชี ในนิวยอร์กซิตี
เพื่อป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าวห้าง ทาร์เก็ต กรุ๊ป ประกาศเมื่อวันอาทิตย์ ปิดสาขา 100 แห่งชั่วคราว ในจำนวนนี้อยู่ในมินนิอาโปลิสประมาณ 30 แห่ง
เหตุจลาจลใหญ่ทั่วอเมริกาครั้งนี้ มีจุดเริ่มต้นจากการเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำวัย 46 ปี ที่ถูกดีเร็ค โชวิน ตำรวจมินนิอาโปลิส ซึ่งเข้าจับกุมเขา ใช้เข่ากดคอเกือบ 9 นาทีจนขาดอากาศหายใจ เมื่อวันจันทร์ (25 พ.ค.) ที่แล้ว และกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่รื้อฟื้นและโหมกระพือความคลั่งแค้นในเรื่องที่ตำรวจใช้กำลังเกินกว่าเหตุกับคนอเมริกันผิวสีที่ไม่มีอาวุธครั้งแล้วครั้งเล่า
โชวินถูกปลดและถูกตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา และมีกำหนดขึ้นศาลในวันจันทร์ (1) ส่วนตำรวจอีก 3 นายที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็ถูกปลดแต่ไม่ถูกตั้งข้อหา
นับจากนั้นมีการประท้วงเกิดขึ้นต่อเนื่องในหลายเมืองทั่วอเมริกา และทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
สถานการณ์ที่บานปลายออกไปเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าสงบง่ายๆ ทำให้มีหลายรัฐมากขึ้นตัดสินใจเรียกระดมทหารจากกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ (เนชั่นแนล การ์ด) ในรัฐ มาช่วยรักษาความสงบ
ทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา เรียกทหารจากกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ ช่วยฟื้นกฎระเบียบและขยายคำสั่งเคอร์ฟิวเป็นคืนที่ 3 ในวันอาทิตย์
ทางด้านกระทรวงกลาโหมเผยว่า ทหาร 5,000 นายของกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิถูกส่งไปยัง 15 รัฐ รวมถึงวอชิงตัน ดี.ซี. นอกจากนั้นยังมีอีก 2,000 นาย ซึ่งถูกสั่งเตรียมพร้อมปฏิบัติหน้าที่
ทั้งนี้ การใช้กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิช่วยควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบในสหรัฐฯ แม้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ในอดีตก็มีแบบอย่างให้เห็น ดังเช่น ในเหตุจลาจลปี 1967 และ 1968 รวมทั้งการประท้วงเกี่ยวกับเชื้อชาติและความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจบางครั้ง
ทางด้านทรัมป์กล่าวหาว่า กลุ่มแอนติฟา ซึ่งเป็นพวกซ้ายสุดโต่ง อยู่เบื้องหลังความรุนแรง และเตรียมขึ้นบัญชีกลุ่มนี้เป็นองค์การก่อการร้าย
ขณะที่สื่อหลายรายบอกว่าไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า มีสมาชิกกลุ่มแอนติฟาเข้าร่วมการประท้วงครั้งนี้มากน้อยแค่ไหน
ตอนบ่ายวันอาทิตย์ ผู้นำสหรัฐฯ ยังทวีตเรียกร้องให้นายกเทศมนตรีและผู้ว่าการรัฐจากพรรคเดโมแครตใช้ไม้แข็งกับพวกผู้นิยมอนาธิปไตยเหล่านี้ และให้เรียกกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิเข้าไปจัดการทันที
ทว่า คีชา แลนซ์ บอตทอมส์ นายกเทศมนตรีนครแอตแลนตา วิจารณ์ว่า ทรัมป์ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ซ้ำยังปลุกปั่นให้สถานการณ์รุนแรงขึ้นอีก
ไม่เพียงแค่ในสหรัฐฯ การตายของฟลอยด์ยังกระตุ้นให้เกิดการประท้วงนอกอเมริกา เช่น การชุมนุมของคนนับพันที่มอนทรีล เบอร์ลิน และลอนดอนเมื่อวันอาทิตย์ นอกจากนี้ ยังมีฝูงชนหลายพันคนเดินขบวนไปยังสถานกงสุลอเมริกันในเมืองโอ๊กแลนด์ของนิวซีแลนด์