เอเอฟพี - เปลวเพลิงลุกท่วมสถานีตำรวจแห่งหนึ่งในรัฐมินนิโซตา และผู้ประท้วงถูกยิงได้รับบาดเจ็บ 7 คน ในรัฐเคนทักกี ในขณะที่สถานการณ์ความไม่สงบ ซึ่งโหมกระพือขึ้นจากความไม่พอใจกรณีชายผิวดำคนหนึ่งเสียชีวิตระหว่างการเข้าจับกุมของตำรวจ ได้ลุกลามบานปลายไปทั่วสหรัฐฯ
พวกเจ้าหน้าที่ต้องพากันหนีออกมาจากอาคารสถานีตำรวจในเมืองมินนีอาโปลิส เมื่อช่วงค่ำวันพฤหัสบดี (28 พ.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น ก่อนที่พวกผู้ประท้วงบุกฝ่าแนวกั้นเข้าไปทุบทำลายกระจกหน้าต่างและตะโกนด่าทอตำรวจ ระหว่างนั้นพบเห็นประกายไฟลุกพรึบ และไม่นานมันก็โหมกระพือกลายเป็นเปลวเพลิงอันเดือดดาลเผาผลาญอาคารทั้งหลัง
การประท้วงยืดเยื้อเข้าสู่วันที่ 4 ในวันศุกร์ (29 พ.ค.) และลุกลามออกไปนอกมินนีอาโปลิส โดยพบเห็นการชุมนุมเกิดขึ้นในหลายรัฐทั่วประเทศ ในนั้นรวมถึงเดนเวอร์, โคโลราโด และฟีนิกส์
ในรัฐเคนทักกี มีประชาชนได้รับบาดเจ็บ 7 คน จากบาดแผลกระสุนระหว่างการชุมนุมในวันพฤหัสบดี (28 พ.ค.) เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับ นางบรีออนนา เทย์เลอร์ อีกหนึ่งคนผิวดำที่ตกเป็นเหยื่อการกระทำเกินกว่าเหตุ โดยเธอถูกยิงเสียชีวิตตอนที่ตำรวจบุกเข้าไปในบ้านพักเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
กรมตำรวจหลุยส์วิลล์ เปิดเผยว่า หนึ่งในบรรดาผู้ได้รับบาดเจ็บนั้น มีอยู่ 1 รายที่อาการสาหัส อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่ามันเป็นฝีมือใคร
ขณะเดียวกัน พบเห็นประชาชนหลายพันคนเข้าร่วมการประท้วงในมินนิโซตา อันมีต้นตอจากการตายของ นายจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำวัย 46 ปี ซึ่งเสียชีวิตขณะถูกตำรวจจับกุมฐานต้องสงสัยใช้ธนบัตรปลอมซื้อสินค้าเมื่อวันจันทร์ (25 พ.ค.) ที่ผ่านมา
ในวิดีโอที่บันทึกไว้ได้โดยผู้เห็นเหตุการณ์รายหนึ่ง เป็นเหตุการณ์เผชิญหน้ากันระหว่างตำรวจ กับ จอร์จ ฟลอยด์ วัย 46 ปี เมื่อคืนวันจันทร์ (25 พ.ค.) โดยในภาพพบเห็น ฟลอยด์ อยู่ในสภาพนอนคว่ำหน้าราบไปกับพื้น และถูกสวมกุญแจมือ ถูกตำรวจใช้เข่ากดลงไปบริเวณคอ ระหว่างนั้นเขาพยายามส่งเสียงพึมพำขอความช่วยเหลือ “ได้โปรด ผมหายใจไม่ออก” ก่อนค่อยๆ หมดสติไป
ฟลอยด์ซึ่งไม่มีอาวุธและตกเป็นผู้ต้องสงสัยฐานพยายามจ่ายธนบัตรปลอมแก่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ถูกนำตัวขึ้นรถฉุกเฉินออกไปจากที่เกิดเหตุ และไปถึงโรงพยาบาลในคืนวันเดียวกันในสภาพที่เสียชีวิตแล้ว
ในขณะที่สถานการณ์ความไม่สงบดูท่าจะลุกลามบานปลาย ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เขียนบนทวิตเตอร์ว่า “พวกอันธพาลเหล่านั้นไม่ให้เกียรติการรำลึกถึงฟลอยด์ และผมจะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น” ข้อความที่ดูเหมือนจะอ้างถึงพวกผู้ประท้วงในมินนิโซตา พร้อมระบุว่า ผู้ว่าการรัฐจะได้รับการสนับสนุนด้านกำลังทหาร “ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ยุ่งยากแค่ไหน แต่เชื่อว่าเราจะควบคุมได้ แต่หากมีการปล้นสะดม เสียงปืนก็จะเริ่มดังขึ้นเช่นกัน”
คำเตือนของทรัมป์มีขึ้นหลังจาก ทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา ใช้อำนาจพิเศษด้านความมั่นคงระดับผู้ว่าการรัฐ สั่งระดมกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิราว 500 นาย ลงพื้นที่เมืองมินนีอาโปลิสและเมืองใกล้เคียง ทว่า วอลซ์ ตัดสินใจไม่ส่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิลงสู่ท้องถนนตอนที่ไฟลุกไหม้สถานตำรวจ
ในเรื่องนี้ เจค็อบ เฟรย์ นายกเทศมนตรีมินนีอาโปลิส ปกป้องการตัดสินใจของ วอลซ์ ว่า “อิฐและปูนไม่สำคัญเท่าชีวิต” พร้อมบอกว่า เจ้าหน้าที่กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิถูกส่งเข้ามาประจำการในเมืองแห่งนี้ ก็เพื่อป้องกันเหตุปล้นสะดม “การแสดงออกถึงความโกรธแค้นและความผิดหวังบนท้องถนนเป็นที่เข้าใจได้ แต่การปล้นสะดมไม่อาจยอมรับได้”
สถานการณ์ความรุนแรงเกาะกุมเมืองมินนีอาโปลิส ท่ามกลางความตึงเครียดที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่การเสียชีวิตของฟลอยด์ โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันพุธ (27 พ.ค.) เกิดการปะทะกันระหว่างพวกผู้ประท้วงกับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย มีเหตุปล้นสะดม จุดไฟเผาห้างร้านต่างๆ และสถานที่ก่อสร้างแห่งหนึ่ง ทำให้ตำรวจต้องยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยางตอบโต้
ทั้งนี้ มีรายงานว่า มีบุคคลรายหนึ่งเสียชีวิตจากบาดแผลกระสุนปืนในวันพฤหัสบดี (28พ.ค.) โดยเวลานี้ตำรวจอยู่ระหว่างสืบสวนว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่เขาอาจถูกยิงโดยเจ้าของร้านค้าระหว่างเกิดเหตุจลาจลรุนแรง
กระทรวงยุติธรรมในวันพฤหัสบดี (28 พ.ค.) ให้สัญญาว่า จะสืบสวนการตายของฟลอยด์อย่างเข้มข้น และบอกว่า พวกเขาให้ความสำคัญกับคดีนี้ในลำดับต้นๆ ในขณะที่ครอบครัวของฟลอยด์ เรียกร้องให้ตั้งข้อหาฆาตกรรมกลุ่มตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในวันนั้น หลังจากทั้งหมดถูกไล่ออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และล่าสุด เดเรค เชาวิน หนึ่งใน 4 ตำรวจที่ถูกไล่ออก และเป็นคนที่เอาเข่ากดทับคอของฟลอยด์ ได้ถูกจับกุมเป็นรายแรกแล้วในวันศุกร์(29พ.ค.) และเขาถูกนำไปควบคุมตัวที่สำนักงานจับกุมผู้กระทำผิดทางอาญาของรัฐ ขณะที่อัยการตั้งข้อหาเขา ฆาตกรรมโดยมิได้เจตนาและโดยไม่ได้ไตร่ตรองมาก่อน ส่วนอีก 3 คนที่เหลือจะอยู่ภายใต้การควบคุมตัวระหว่างการสืบสวน และมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะถูกตั้งข้อหาเช่นกัน