xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“เพื่อไทย” สาละวันเตี้ยลง หมอบลำปาง-ตั้งพรรคใหม่

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 พินิจ จันทรสุรินทร์ | สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ | ภูมิธรรม เวชยชัย | คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
ป้อมพระสุเมรุ

ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ท่าจะกร่อยซะแล้ว ศึกเลือกตั้งซ่อม ส.ส. เขต 4 ลำปาง ที่ตำแหน่งว่างลง หลัง “เสี่ยหน่อย” อิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ อดีต ส.ส.ลำปาง พรรคเพื่อไทย เสียชีวิต และ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ก.ก.ต.) กำหนดจัดให้มีการลงคะแนนในวันที่ 20 มิ.ย.นี้

เพราะจนแล้วจนรอด ถึงวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา วันสุดท้ายของการรับสมัคร “เจ้าพ่อดอยเงิน” พินิจ จันทรสุรินทร์ อดีต ส.ส.หลายสมัย และบิดาของอิทธิรัตน์ ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีมติส่งลงสมัครเลือกตั้งแทนลูกชาย ไม่ปรากฏตัวไปสมัคร

กระทั่งมีรายงานข่าวว่า “ปู่พินิจ” แจ้งกับทางพรรคเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 25 พ.ค. ก่อนรับสมัครวันสุดท้ายเพียงวันเดียวว่า ขอถอนตัวจากการเป็นผู้สมัครในครั้งนี้ ทำให้พรรคเพื่อไทยที่จัดแจงเอกสารทางกฎหมายใหกับ “ปู่พินิจ” เสร็จสรรพไปแล้ว ไม่สามารถสรรหาผู้สมัครแทนได้ทัน

ส่งผลเหลือเพียง 5 ผู้สมัครจาก 5 พรรคการเมืองลงชิงชัยเก้าอี้ ส.ส.เขต 4 ลำปาง ประกอบด้วย วัฒนา สิทธิวัง พรรคพลังประชารัฐ หมายเลข 1, ร.ต.ท.สมบูรณ์ กล้าผจญ จากพรรคเสรีรวมไทย หมายเลข 2, อำพล คำศรีวรรณ พรรคพลังท้องถิ่นไท หมายเลข 3, องอาจ สินอนันต์เศรษฐ์ พรรคไทรักธรรม หมายเลข 4 และ ปทิตตา ชัยมูลชื่น พรรคเศรษฐกิจใหม่ หมายเลข 5


ขณะที่พรรคก้าวไกลก็เพิ่งถ่ายโอนสมาชิกจากอดีตพรรคอนาคตใหม่ กระบวนการทางธุรกรรมยังไม่เรียบร้อย ก็เลยไม่สามารถส่งผู้สมัครได้

เท่ากับว่ามีผู้สมัครฝ่ายค้านเพียงคนเดียว คือตัวแทนจากพรรคเสรีรวมไทย ที่คะเนด้วยสายตาแล้ว งานนี้ยากที่จะต่อกรกับ “ค่ายพลังประชารัฐ” ที่พร้อมเต็มสูบ

ผิดคิวขนาดนี้ สปอตไลท์ย่อมสาดไปที่ “ค่ายเพื่อไทย” ทันที ถึงเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจ “ทิ้งพื้นที่” ว่าเป็นเพียง “เหตุผลส่วนตัว” ของ “ปู่พินิจ” หรือมี “ดีลลับ” ของทั้ง “ปู่พินิจ” หรือดีลกันระดับพรรคหรือเปล่า

“พรรคเพื่อไทยได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายเรื่องการส่งผู้สมัคร ส.ส.รับเลือกตั้งครบถ้วนถูกต้องทุกประการ ช่วงแรก คุณพินิจ (จันทรสุรินทร์) แสดงความพร้อมที่จะรักษาพื้นที่เพื่อดูแลพี่น้องประชาชนชาวลำปาง เขต 4 แทนคุณอิทธิรัตน์ บุตรชายที่เพิ่งเสียชีวิต แต่พอถึงวันสมัคร คุณพินิจ รู้สึกไม่สบายใจ เพราะยังเศร้าโศกเสียใจ กับการจากไปของบุตรชาย จึงตัดสินใจไม่ลงสมัคร ประกอบกับ คุณพินิจ มีความประสงค์ที่จะลงสมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ลำปาง ซึ่งจะมีการเลือกตั้งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งได้แจ้งให้พรรคทราบก่อนหน้านี้แล้ว พรรคเพื่อไทย จึงไม่สามารถส่งตัวแทนของพรรคลงสมัคร ส.ส.ลำปาง เขต 4 ได้” คือคำชี้แจงของ “เฮียพงษ์” สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย

ก็ตรงกับ “หน้าฉาก” ที่แกนนำพรรคเพื่อไทยหลายคนต่างก็ “เคารพการตัดสินใจ” และยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า “พินิจ” ยังทำใจที่สูญเสียลูกชายไม่ได้จริงๆ

ว่ากันว่า “ป๋าพินิจ” พูดถึงขนาด “...จะไปเดินหาเสียงได้ยังไง ทำใจไม่ได้ เดินไปก็เห็นรอยเท้าไอ้หน่อย (อิทธิรัตน์) มันอยู่...”

แม้จะเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อที่เพิ่งสูญเสียลูกชายก่อนวัยอันควร แต่ “บิ๊กเพื่อไทย” เองก็ยอมรับว่า มีกระแสข่าวว่า มีการต่อสายจากพรรคคู่แข่งถึง “ปู่พินิจ” เพื่อเกลี้ยกล่อม-เกี๊ยะเซี๊ยะให้ “หลบ” ในสนามเลือกตั้งซ่อมครั้ง แลกกับการสนับสนุนในสนาม “นายก อบจ.ลำปาง” ที่จะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้

เพราะด้วย “สามัญสำนึก” แล้ว หาก “พินิจ” ไม่พร้อม ก็แจ้งต้นสังกัดตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อเปิดโอกาสให้พรรคเพื่อไทยสรรหาคนอื่นลงรักษาพื้นที่แทน แต่กลับมาโบ้ยภายหลังว่า “ไม่เคยรับปากว่าจะลง...”

ตรงกับเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากพรรคพลังประชารัฐ ว่าแกนนำระดับ “เส้นเลือดใหญ่” ใต้เงา “ป่ารอยต่อ” ที่ดูแลพื้นที่ภาคเหนือ ถึงกับตบขาฉาดใหญ่ พร้อมเปล่งเสียงดังลั่นว่า “มันต้องได้อย่างนี้สิวะ” เมื่อรู้ว่า “พินิจ” ถอนตัวและพรรคเพื่อไทยไม่ส่งผู้สมัคร

ว่ากันว่า ช่วงปลายปี 2561 “ปู่พินิจ” ในฐานะหัวเรือใหญ่ของ “บ้านดอยเงิน” ของตระกูลจันทรสุรินทร์ ไปร่วมโต๊ะเจรจากับ “พี่ใหญ่พลังประชารัฐ” พร้อมรับเสื้อแจ็กเก็ต นัดแนะเตรียมเดินทางไปเปิดตัวเพื่อลงสมัครเลือกตั้งช่วงต้นปี 2562 แล้วด้วยซ้ำ

ทว่า เป็น “เสี่ยหน่อย-อิทธิรัตน์” ผู้ล่วงลับที่ค้านหัวชนฝา ก่อนจะโพสต์เฟซบุ๊กปฏิเสธข่าวย้ายพรรคที่หนาหูว่า “ยังยึดมั่น ยืนหยัดต่อสู้ร่วมอุดมการณ์กับพรรคเพื่อไทย”

ทำให้ “บ้านจันทรสุรินทร์” ยังลงเลือกตั้งในสีเสื้อพรรคเพื่อไทย และคว้าชัยมาได้ทั้ง 2 เขตที่ดูแล คือ “เสี่ยเบิ้ม” จรัสฤทธิ์ จันทรสุรินทร์ ที่เขต 3 และ “เสี่ยหน่อย-อิทธิรัตน์” ที่เขต 4


ที่สำคัญ ก่อนที่พรรคจะมีมติส่ง “พินิจ” ลงสมัครเลือกตั้งซ่อมนั้น ได้ไตร่ตรองแล้วว่า “งานนี้พลาดไม่ได้” ด้วยผลการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมา “ไม่เป็นบวก” กับฝ่ายค้านเลย ตั้งแต่ที่ จ.นครปฐม ที่พรรคชาติไทยพัฒนา ชิงเก้าอี้ได้จาก (อดีต) พรรคอนาคตใหม่ หรือครั้งที่พรรคเพื่อไทย ถูกพรรคพลังประชารัฐเจาะไข่แดงที่เขต 7 จ.ขอนแก่น หรือที่ จ.กำแพงเพชร ก็แพ้ไปแบบไม่ได้ลุ้น

กระทั่งเลือกตั้งซ่อมเขต 8 จ.เชียงใหม่ ที่พรรคเพื่อไทยเทคะแนนให้ “แม่งู” ศรีนวล บุญลือ ผู้สมัครของ (อดีต) พรรคอนาคตใหม่ จนเข้าป้ายด้วยคะแนนถล่มทลาย แต่แล้วกลับเลื้อยไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทยในภายหลัง

จึงตัดสินใจว่าต้องใช้ “เบอร์ใหญ่” ระดับ “ป๋าพินิจ” แทนที่จะเป็นแค่ลูกชายคนเล็ก “ดร.เอ” ชุณหกิจ จันทรสุรินทร์ ลูกชายคนเล็กแห่ง “บ้านดอยเงิน” ที่สนใจการเมืองเช่นกัน และเคยลงสมัครนายก อบจ.ลำปาง ได้มาเกือบแสนแต้มเลยทีเดียว

เจอไม้นี้ของ “เจ้าพ่อดอยเงิน” เข้าไป ทำเอาแกนนำพรรคเพื่อไทย ต้อง “กลืนเลือด” เก็บอาการ มองข้ามชอตล่วงหน้า สนามนายก อบจ.ลำปาง ได้สั่งสอน “ผู้อาวุโส” ที่ปันใจแปรพักตร์แน่

อย่างไรก็ดี “หลังฉาก” ก็ว่ากันว่า “บิ๊กๆ เพื่อไทย” ที่กลืนเลือดก็ “หลับตาข้างนึง” หรือถึงขนาด “หลิ่วตา” ให้ “พินิจ” หลบเองด้วยซ้ำ


แม้รู้ว่า “เดิมพันสูง” โดยเฉพาะการเป็นพื้นที่สีแดง ถิ่นของ “ตระกูลชินวัตร” ไม่ต่างจาก จ.เชียงใหม่ ที่แพร่อิทธิพลปกคลุมยกจังหวัดมาตลอด ตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย-พลังประชาชน มาจนถึงพรรคเพื่อไทย วันนี้ ขืนปล่อยให้ “ขั้วตรงข้าม” มาปักหมุดได้ ไม่พ้น “นายใหญ่-นายหญิง” ที่ต้องเสียหน้า

เอาเข้าจริง พื้นที่เชื่อขนมกินได้ขนาดนี้ จับใครลงก็ได้ ทั้ง “เสาไฟฟ้า” หรือ “นกแล” ก็ยังชิลล์ ด้วยความห่างของคะแนนเลือกตั้ง 24 มี.ค.62 เห็นอยู่ว่าทิ้งกันไกลเกินหมื่นแต้ม ถึง “ปู่พินิจ” จะแจ้งฉุกละหุกจริง แต่ก็เชื่อลึกๆ ว่า “รู้กัน” ว่า วางใจไม่ได้ ทว่าไม่มีใครหืออือร้องทักแต่ต้นเท่านั้น

ด้วยปัญหาไม่มีใครออกหน้าเป็น “เจ้าภาพ” รับผิดชอบ “กระสุนดินดำ” ที่ธรรมดาไม่ได้ ต้อง “พิเศษใส่ไข่” หากจะสู้กับคู่แข่งที่ “หน้าตัก” ไม่ธรรมดา

เห็นว่าเลือกตั้งซ่อม เขต 7 ขอนแก่น ที่พ่ายแพ้เสียที่นั่งให้พรรคพลังประชารัฐ ป่านนี้ยังวางบิล-เคลียร์บิลกันไม่ได้เลย

งานนี้ “พินิจ” ทำเอาหลังหักก็จริง แต่มองแง่ดีว่า “วิน-วิน” ทั้งพรรค ไม่ต้องมีใคร “ควักเนื้อ” สิ้นเปลือง ในยามที่ “คนแดนไกล” ล็อกตู้เซฟแน่ ไม่ปล่อยน้ำฝนมาให้ชุ่มชื่นหัวใจนานนมแล้ว


มองในแง่ดีอีกว่า ก็แค่เสียงเดียว เกมในสภาฯ นาทีก็เป็นรองสุดกู่ ฝ่ายค้านเหลือจำนวนเต็มแค่ 211 เสียง ที่ไม่รู้ว่าจะไปอีกเท่าไร และเมื่อไร รักษาที่นั่งได้ก็เท่านั้น พลิกขั้วล้มรัฐบาลไม่ได้อยู่แล้ว

อีกทั้งยังพื้นที่อิทธิพล มั่นใจได้ว่า วันข้างหน้า ทรัพยากรพร้อมๆ ก็ทวงคืนพื้นที่ได้ไม่ยาก วันนี้ก็เลยปล่อยไปก่อน

รายการเบี้ยวนัดที่ จ.ลำปาง ก็เพิ่มน้ำหนัก “ปัญหาภายใน” พรรคเพื่อไทย ขึ้นอีกเป็นเท่าทวีคูณ สะท้อนถึงความไร้เสถียรภาพ ของ “แชมป์ ส.ส.” ที่กวาดมาได้ 130 กว่าที่นั่ง เฉพาะ ส.ส.เขต ในการเลือกตั้ง 24 มี.ค.62

ที่หลังการเลือกตั้งเป็นต้นมา ดูจะดิ่งเป็น “กราฟหัวตก” ไปทุกขณะ ทั้งจำนวน ส.ส.ของพรรคที่หดลงเรื่อยๆ กระแสต่างๆ ก็ตีไม่ขึ้น การขับเคลื่อนงานฝ่ายค้านก็ถูก พรรคก้าวไกล หรือตั้งแต่สมัย (อดีต) พรรคอนาคตใหม่ ช่วงชิง “การนำ” มาตลอด

ยิ่งช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่กลับกลายเป็นว่า “รัฐบาลประยุทธ์” พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ทั้งด้านสาธารณสุขที่น่าพึงพอใจ และยังมีโอกาส “อัดฉีด” เงินถึงประชาชน กับงบประมาณอีกก้อนใหญ่สำหรับโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ จากเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่ฝ่ายค้านเองก็ยอมรับว่าจำเป็นต้องกู้

ขณะที่พรรคเพื่อไทย ที่ขยันออกหมัด ทั้งติ ทั้งค้าน กลับดูเหมือนไม่ได้แต้มเลย

จังหวะเดียวกันนี้เอง ที่เกิด “คลื่นใต้น้ำ” ขึ้นในพรรคเพื่อไทย และเครือข่ายของ ทักษิณ ชินวัตร อีกครั้ง เมื่อมีกระแสข่าวว่า แกนนำพรรคเพื่อไทย และอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทยยุคก่อตั้ง เริ่ม “ก่อหวอด” พูดคุยกันถึงการตั้งพรรคการเมืองใหม่

ที่มาที่ไปก็ยังเป็นปัญหาเดิม กับตัวละครเดิมๆ ที่มี “คุณหญิงหน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรค ตกเป็นเป้า มาตั้งช่วงหาเสียงเลือกตั้งปี 62 ที่แม้จะชนะได้ ส.ส.มากที่สุด แต่ก็ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้

โดยที่ “เจ๊หน่อย” รุกคืบเข้ามามีอิทธิพลในพรรคมากขึ้น หลังขั้วอำนาจถูกผลัดใบในคราวเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรค ที่มี “เฮียพงษ์-สมพงษ์” ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค โดยมี “เฮียป๊อป” น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ สายตรง “หญิงหน่อย” ขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรค

แต่พรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของ “สมพงษ์” และมี “สุดารัตน์” ถือหางเสือ ดูเหมือนจะ “ไร้เอกภาพ” อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ “สารวัตรเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ไม้เบื่อไม่เมาของ “หญิงหน่อย” เข้ามามีบทบาท ที่ถือว่า “เละเทะ”

หรือความพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งซ่อม ทั้งที่ “ขอนแก่น-กำแพงเพชร” ต่างก็โทษไปที่ “เจ๊หน่อย”

หลายคนในพรรคเพื่อไทยก็ชัดเจนว่า ไม่ยอมรับ และไม่สามารถทำงานร่วมกับ “เจ๊หน่อย” ได้ ร้อนถึง “เฮียพงษ์-สมพงษ์” หัวหน้าพรรค และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กลับต้องเป็น “ตัวกลาง” ประนีประนอมทั้ง 2 ฝ่าย

ขณะเดียวกันก็มีการนำความไม่พอใจไปฟ้อง “เถ้าแก่” ทักษิณ ชินวัตร อยู่ตลอด ถึงขนาดที่ “คนแดนไกล” ต้องถามกลับว่า “มันขนาดนั้นเลยหรือวะ...”

เมื่อ “กลุ่มคนชังเจ๊” บ่นมากเข้า “นายใหญ่” ก็จนใจ หลุดปากในทำนอง “..ทนไม่ไหว ก็ไปตั้งพรรคใหม่”

แม้ฟังผิวเผินเหมือนพูดส่งๆ แต่ “ลิ่วล้อ” ในซีก “คนชังเจ๊” ก็ได้ที ถือเป็น “ตราตั้ง” มาก่อหวอดเป็นกลุ่มก่อการ เคาะชื่อน่าชัง “กลุ่มแคร์” ที่นำโดย“เฮียอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านฯ และอดีตเลขาธิการพรรคเพื่อไทย, “เฮียเพ้ง” พงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล อดีตแกนนำและนายทุนพรรคไทยรักไทยและ 2 หมอคู่บารมีทักษิณ ทั้ง “หมอมิ้ง” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช และ “หมอเลี้ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงษ์ลี

ที่เริ่มมีการเคลื่อนไหวไปบ้างแล้ว แน่นอนหมุดหมายไม่เกินคาด ตั้งพรรคการเมืองใหม่

เรื่องนี้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย “สมพงษ์” ที่ควรจะเคือง ยังยักไหล่ ทำไงได้รัฐธรรมนูญออกแบบมาอย่างนี้ เช่นเดียวกับหลายคนในพรรคเพื่อไทยที่ว่า ยี่ห้อเพื่อไทยไปต่อไม่ได้แล้ว ซึ่งก็โทษใครไม่ได้นอกจาก “เถ้าแก่” ที่เล่นการเมืองแบบกลับไปกลับมาเอง

อีกทั้งตามสูตรรัฐธรรมนูญที่ “ทีมทักษิณ” ตีโจทย์แตกตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง มี.ค.62 แต่ไปพลาดหมาก “ไทยรักษาชาติ” เสียก่อน ออกแบบให้มีพรรคเล็กพรรคน้อย เพื่อคอยเก็บกวาด “คะแนนหล่นน้ำ” ไปแลกที่นั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ก็บีบบังคับให้แตกกิ่งก้านสาขาพรรคอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับเจ๊ หรือเฮียอะไร

หากแต่ “กลุ่มคนชังเจ๊” ก็ขอปั่นกระแสแซะ “คุณหญิงเจ๊” เสียหน่อยเท่านั้น

ส่วนรูปแบบการขับเคลื่อนของก๊วน “อ้วน-เพ้ง-มิ้ง-เลี้ยบ” ก็ไม่ใช่โครมครามตั้งโต๊ะแถลงตั้งพรรคใหม่ทันที เพราะต้องย้ำว่างานนี้ไม่ใช่ “แตกแบงก์พันเป็นแบงก์ห้าร้อย” เพิ่มมาพรรคเดียวอย่างที่เข้าใจ แต่ “แตกย่อยเป็นแบงก์ร้อย” ไม่น้อยกว่า 5 พรรค

โดยจะใช้ “กลุ่มแคร์” ในการหาแนวร่วม และให้ทั้ง 4 คนเป็น “แมวมอง” และ “โค้ช” ด้านต่างๆ แบ่งเป็น “เฮียเพ้ง-พงษ์ศักดิ์” ดูเรื่องคอนเนกชันและทุน, “หมอมิ้ง-พรหมมินทร์” ดูเรื่องยุทธศาสตร์และนโยบาย, “หมอเลี้ยบ-สุรพงษ์” ดูเรื่องกระบวนการดำเนินการ ส่วน “เฮียอ้วน-ภูมิธรรม” ดูภาพรวม ทำหน้าที่เหมือนแม่บ้าน หรือเลขาธิการพรรค


ใช้เวลาก่อนการเลือกตั้ง ที่คาดว่าไม่ใช่เร็วๆนี้ วางกรอบ และพื้นที่ของแต่ละพรรคให้ชัดเจน มากกว่าที่เคยแยก “เพื่อไทย-ไทยรักษาชาติ” แล้วยังมีบางพื้นที่ที่ทับซ้อนกัน

แล้วก็ไม่ใช่มีแค่พรรคที่ “กลุ่มแคร์” ปั้นขึ้นมาเท่านั้น พรรคเครือข่ายทักษิณ ก็ยังมีทั้งกลุ่มอดีตไทยรักษาชาติ ของ “เสี่ยอ๋อย” จาตุรนต์ ฉายแสง ร่วมกับแกนนำเสื้อแดงบางส่วน

หรือกระทั่ง “พรรคคุณหญิงเจ๊” ที่นับหนึ่งในสาระบบได้เลย อยู่ที่ว่าจะแยกออกมาเมื่อใดเท่านั้นเอง.



กำลังโหลดความคิดเห็น