xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อบราซิลคิดจะบ้าตามอเมริกา

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


ประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนารู แห่งบราซิล
ปิดฉากสัปดาห์นี้...ด้วยเรื่องที่ออกไปทาง “เบาๆ” หรือออกไปทาง “บ๊องส์ส์ส์ๆ” ก็แล้วแต่จะคิด คือเรื่องของผู้นำประเทศพี่เบิ้มแห่งละตินอเมริกา หรือประเทศบราซิล ผู้มีนามกรว่า “นายฌาอีร์ โบลโซนารู” หรือ “นาโร” (Jair Bolsonaro) ก็แล้วแต่จะเรียก ที่เคยได้ชื่อ ฉายา ว่า “ทรัมป์ 2” หรือ “ทรัมป์แห่งละตินอเมริกา” ด้วยเหตุเพราะลักษณะ ลีลา วาสนาและสันดาน ออกจะแทบไม่ต่างอะไรไปจากผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ในเกือบทุกเรื่อง ทุกกรณี...

และแม้แต่กรณีการเห็นดี เห็นงาม เห็นควรด้วยที่จะให้หันไปคว้าเอายาแก้โรคมาลาเรีย “Hydroxychloroquine” มากรอกปากวันละ 3 เวลาหลังอาหาร ด้วยความเชื่อที่ว่า สามารถป้องกันและรักษาเชื้อโคโรนาไวรัส “COVID-19” ได้อย่างชงัดเอามากๆ แม้ว่ายังอาจไม่ถึงขั้นเห็นควรด้วย เห็นดี เห็นงาม กับการฉีดน้ำยาล้างส้วม หรือการส่องรังสียูวีเข้าไปรูตูดใครต่อใคร เพื่อหวังจะฆ่าเชื้อไวรัส “COVID-19” แบบที่ “ทรัมป์บ้า” เคยเสนอแนะเอาไว้ก่อนหน้านั้น หรือไม่ อย่างไร ก็ตามที แต่การหันมาเรียกร้อง หันมาเดินตามแนวทางของผู้นำอเมริกา ในเรื่องการใช้ยารักษาโรคมาลาเรีย ไปรักษาคนไข้โรค “COVID-19” ก็เรียกว่า...น่าจะหนักไปทาง “บ้า” หรือ “บ๊องส์ส์ส์” ชนิดเอาเรื่องอยู่ตามสมควร และนั่นก็เลยส่งผลให้รัฐมนตรีสาธารณสุขของรัฐบาลตัวเอง คือ “นายNelson Teich” ที่ไม่อยากบ้า ไม่อยากบ๊องส์ส์ส์ตามไปด้วย เลยอดรนทนไม่ไหว ต้องยื่นจดหมายลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ไปเมื่อช่วงวันศุกร์ (15 พ.ค.) ของสัปดาห์ที่แล้ว...

แต่เหตุที่ทำให้ผู้นำประเทศพี่เบิ้มแห่งละตินอเมริการายนี้...ต้องออกอาการติงต๊อง หรือต้อง “บ้าตาม” ผู้นำอเมริกา ก็น่าจะพอเป็นที่เข้าใจได้ เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วย ผู้ตาย อันเนื่องมาจากเชื้อไวรัส “COVID-19” ในบราซิลช่วงนี้ ออกจะมาแรงแซงโค้งเอามากๆ เรียกว่า...เขยิบจากอันดับ 8 อันดับ 9 เกือบๆ อันดับ 10 พรวดเดียวขึ้นมาคว้าตำแหน่งอันดับ 3 หรือเผลอๆ อาจต้องถือเป็นอันดับ 2 แซงหน้าประเทศรัสเซียในเรื่องจำนวนคนตายไปไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า คือในขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อขึ้นไปถึงประมาณ 271,628 ราย เมื่อช่วงวันพุธ (20 พ.ค.) ที่ผ่านมา น้อยกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศอันดับ 2 อย่างรัสเซีย ที่อยู่ที่ประมาณ 299,941 ราย แต่ถ้าว่ากันถึงจำนวนผู้ตายในรัสเซีย เพียงแค่ 2,837 รายเท่านั้น ขณะแซมบ้าบราซิลกลับทำสถิติ ด้วยจำนวนผู้ตายเพราะเชื้อ “COVID-19” พุ่งขึ้นไปถึง 17,983 ราย คว้าเหรียญเงินเอามาครองซะเฉยเลย ส่วนเหรียญทองนั้นคงไม่ต้องเสียเวลาออกเรี่ยว ออกแรง อะไรกันต่อไปอีกแล้ว เพราะเจ้าของสูตรใช้ยาแก้มาลาเรียรักษาโรค “COVID-19” อย่าง “ทรัมป์บ้า” ผู้นำอเมริกา ทิ้งห่างใครต่อใครชนิดแทบไม่เห็นฝุ่น เห็นหาง ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อที่ปาเข้าไปถึง 1,570,583 ราย ผู้ตาย 93,539 ราย...

แต่นอกเหนือไปจากจำนวนคนป่วย คนตาย คนติดเชื้อ ที่ทำให้แซมบ้าบราซิล ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งอันดับ 2 ผลข้างเคียง หรือผลกระทบทางเศรษฐกิจจากเชื้อไวรัส “COVID-19” ว่ากันว่า...อาจถึงขั้นส่งผลให้เศรษฐกิจบราซิลมีสิทธิ “ล่มสลาย” ภายในอีกไม่เกิน 30 วันข้างหน้านับจากนี้ ตามความเห็นและการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจหลายต่อหลายราย ตัวเลขจีดีพีในไตรมาสแรกไปจนถึงไตรมาสสอง ที่ติดลบกันชนิดรูดมหาราช เลยส่งผลให้ผู้นำประเทศ อย่าง “นายโบลโซนารู” ที่พยายามลอกแบบ เลียนแบบ ความบ้าของผู้นำอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” มาโดยตลอด จึงไม่เพียงแต่เห็นด้วย เห็นดี เห็นงามกับการคว้าเอายารักษามาลาเรียมารักษาโรค “COVID-19” เท่านั้น แต่ยังพร้อมจะออกแรงยุ แรงเชียร์ ให้บรรดาชาวแซมบ้าทั้งหลายออกมาประท้วง ออกมาเรียกร้อง ให้ยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ในรูปแบบต่างๆ ชนิดถึงขั้นใส่เสื้อแดง แขวนกระดิ่ง และไม่สวมหน้ากากอนามัย ออกมายืนปราศรัยท่ามกลางฝูงชนที่สนับสนุนตัวเอง แบบไม่คิดจะเว้นระยะห่างเอาเลยถึงขั้นนั้น...

อย่างไรก็ตาม...อันที่จริงแล้ว การ “บ้าตามทรัมป์บ้า” ของผู้นำบราซิลรายนี้ ก็ไม่ใช่เพิ่งมาเกิดในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” ก็หาไม่ แต่ต้องเรียกว่า...ตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที อดีตทหารอย่าง “นายโบลโซนารู” ที่เคยถูกกล่าวหาว่าคิดก่อวินาศกรรมหน่วยทหารของตัวเอง เนื่องจากความไม่พอใจบางสิ่ง บางอย่าง เมื่อได้ผันตัวเองมาเป็น “นักการเมือง” ก็ย่อมต้องมี “เชื้อบ้า” ติดตัวมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย และจะโดยเชื้อบ้า หรือโดยอะไรก็แล้วแต่ ที่ทำให้บรรดาสิ่งต่างๆ เหล่านี้...ค่อนข้างไป “เข้าตากรรมการ” หรือเข้าตาคุณพ่ออเมริกา ที่พยายาม “กวาดสวนหลังบ้าน” ของตัวเอง ไม่ให้รกรุงรัง เพราะการแผ่อำนาจอย่างอ่อน หรือแบบ “Soft Power” ของคุณพี่จีน ชักจะมาแรงแซงโค้งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในภูมิภาคละตินอเมริกา โดยเฉพาะหลังการจัดตั้งกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ อย่างกลุ่ม “BRICS” ที่มีจีน รัสเซีย อินเดีย แอฟริกาใต้ รวมทั้งบราซิล ร่วมอยู่ด้วย ชนิดที่สามารถจัดตั้งธนาคารระหว่างประเทศ ขึ้นมาเทียบรัศมีกับธนาคารโลก เอาเลยถึงขั้นนั้น...

การหาทางกวาดล้างพวก “รัฐบาลฝ่ายซ้าย” ในละตินอเมริกา โดยเฉพาะในบราซิล ที่เคยมีอดีตผู้นำแรงงานหัวสังคมนิยม อย่าง “นายลูลา ดา ซิลวา” (Lula da Silva)ไปจนถึงบรรดาทายาททางการเมือง อย่าง “นางดิลมา รุสเซฟฟ์” (Dilma Rousseff) ให้หมดเสี้ยนหนามไปจากสวนหลังบ้านของอเมริกา จึงต้องหันไปอาศัยบริการของนักการเมืองฝ่ายขวา ที่มี “เชื้อบ้า” อยู่ภายในตัวอย่าง “นายโบลโซนารู” นี่แหละ ถึงจะสอดคล้องกับผลประโยชน์ของอเมริกา และไปด้วยกันได้ดี กับผู้นำอเมริกาที่ “บ้า...ก็...บ้าวะ” มาโดยตลอด การอาศัย “เทคนิคทางการเมือง” หรือ “เทคนิคการเลือกตั้ง” แบบเดียวกับที่ทำให้ “ทรัมป์บ้า” สามารถหักปากกาเซียน ขึ้นเป็นประธานาธิบดีอเมริกาได้สำเร็จ จึงถูกนำมาใช้กับการเลือกตั้งประธานาธิบดีบราซิล เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2019 แบบชนิดแทบถอดพิมพ์ ถอดแบบออกมาในแนวเดียวกันเป๊ะๆ ไม่ว่าการอาศัยบริการบริษัทธุรกิจเอกชน ที่มีขีดความสามารถสูงเอามากๆ ในการใช้ “วิชามาร” เพื่อการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง อย่างบริษัท “Cambridge Analytica” แห่งประเทศอังกฤษ ที่ไปคว้าเอาข้อมูลส่วนตัวของบรรดาผู้ที่ชอบเล่น “Facebook” ทั้งหลาย จำนวนไม่น้อยกว่า 87 ล้านราย มาเล่นแร่แปรธาตุ หรือมาดัดแปลงให้กลายเป็น “Fake News” เพื่อเล่นงานคู่แข่งฝ่ายตรงข้ามกันโดยเฉพาะ จนทำให้ “ลูกค้า” อย่าง “ทรัมป์บ้า” รวมทั้ง “โบลโซนารู” มีโอกาสผงาดขึ้นเป็นผู้นำประเทศ โดยอาศัยประชาธิปไตยจาก “หีบเลือกตั้ง” นั่นเอง...

ดังนั้น...ความบ้าของ “โบลโซนารู” กับความบ้าของ “ทรัมป์บ้า” จึงเป็นอะไรที่สอดคล้องต้องกันมาโดยตลอด เป็นความบ้าที่พร้อมจะสร้างปัญหาและอุปสรรค ให้กับประเทศคู่แข่งของอเมริกา อย่างรัสเซียและจีน พร้อมที่จะเล่นงานประเทศที่อเมริกาไม่ชอบขี้หน้าอย่างเวเนซุเอลา หรืออิหร่าน รวมทั้งพร้อมจะย้ายสถานทูตบราซิลจากกรุงเทล อาวีฟไปอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม เพื่อสนับสนุนประเทศอิสราเอลอย่างออกหน้า ออกตา แต่ก็นั่นแหละ...เมื่อดันต้องเจอกับเชื้อไวรัสเมืองจีน หรือเชื้อ “COVID-19” เข้าไปแค่ไม่กี่ดอก ไม่ว่า “ทรัมป์บ้า” หรือ “โบลโซนารูบ้า” ต่างหนีไม่พ้นต้องเกิดอาการ “ประสาทหลอน” ไปด้วยกันทั้งคู่ และนั่นย่อมทำให้โอกาสที่จะเกิด “การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง” ในประเทศพี่เบิ้มแห่งละตินอเมริกา อาจมีความเป็นไปได้ไม่ว่าก่อนหน้าหรือหลังจากความ “ล่มสลาย” ของประเทศจักรวรรดินิยมอเมริกา ได้ทุกเมื่อ...
กำลังโหลดความคิดเห็น