เอเจนซีส์ - องค์การอนามัยโลก (ฮู) เผย วันพุธ (20 พ.ค.) วันเดียว พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มากกว่า 106,000 คนทั่วโลก ถือเป็นสถิติรายวันสูงสุดใหม่ นับจากที่โควิด-19 เริ่มระบาดในเมืองอู่ฮั่นปลายปีที่แล้ว ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง “ทรัมป์” ไอเดียหาเสียงสุดเฟื่อง เสนอจัด ซัมมิต จี7 แบบเจอกันตัวเป็นๆ ในอเมริกา เพื่อยืนยันว่า สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติแล้ว ทางด้านจีนตอบโต้ทวีตประมุขทำเนียบขาวที่กล่าวหาปักกิ่งสังหารหมู่ชาวโลกด้วยไวรัส โดยยืนยันว่า จีนพยายามอย่างดีที่สุดในการปกป้องชีวิตประชาชน รวมทั้งดำเนินการด้วยความโปร่งใสและรับผิดชอบ และสนับสนุนให้นานาชาติร่วมมือต่อสู้โรคระบาด
ในวันพุธ (20) เทดรอส แอดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก แสดงความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเทศที่มีรายได้ปานกลางและต่ำ หลังจากที่ฮูแถลงว่า ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ทั่วโลกที่ได้รับการยืนยันในวันนั้นมีจำนวนกว่า 106,000 คน ถือเป็นสถิติรายวันสูงสุดนับจากที่ไวรัสมรณะนี้ระบาดเป็นครั้งแรกในจีนเมื่อเดือนธันวาคม โดยที่ยอดรวมสะสมผู้ติดเชื้อทั่วโลกขณะนี้อยู่ที่เกือบ 5 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตกว่า 325,000 คน
ช่วงไม่กี่วันมานี้ ละตินอเมริกากลายเป็นภูมิภาคที่มีการระบาดรุนแรงที่สุด บางประเทศต้องยกเลิกคำสั่งผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์
ประเทศที่ไวรัสโคโรนาระบาดหนักที่สุดขณะนี้ คือ บราซิล โดยมีแนวโน้มแซงรัสเซียขึ้นเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสะสมมากที่สุดอันดับ 2 ของโลกรองจากอเมริกาในเร็วๆ นี้ ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อในเปรู เม็กซิโก และ ชิลี ก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของบราซิลเปิดเผยเมื่อวันพุธ ว่า พบผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ถึง 1,179 คนในวันเดียว รวมยอดผู้ติดเชื้อสะสม 291,579 คน และยอดผู้เสียชีวิต 18,859 คน กระนั้น ฌาอีร์ โบลโซนารู ประธานาธิบดี ที่มาจากพรรคขวาจัด ยังคงเพิกเฉยต่อคำเตือนของผู้เชี่ยวชาญและเดินหน้ากดดันให้ผู้ว่าการรัฐต่างๆ ยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ที่เขาเห็นว่า ไม่จำเป็นสำหรับ “ไข้หวัดเล็กๆ น้อยๆ”
โบลโซนารู ยังสนับสนุนให้ใช้ยารักษาโรคมาเลเรียกับผู้ป่วยโควิด-19 เช่นเดียวกับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของอเมริกา แม้ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ยาดังกล่าวไม่สามารถใช้รักษาโรคนี้ได้แถมมีผลข้างเคียงอันตราย
ทางด้านทรัมป์ที่ต้องการฟื้นเศรษฐกิจก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน กล่าวว่า อเมริกากำลังพิจารณาการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดกลุ่ม จี7 แบบที่ผู้นำทั้งหลายเดินทางมาพบปะหารือกัน ตามกำหนดเดิมในเดือนหน้า แทนการประชุมเสมือน เพื่อเป็นตอกย้ำว่า สถานการณ์กลับสู่ปกติแล้ว
ด้านสำนักงานประธานาธิบดีฝรั่งเศส เผยว่า ประธานาธิบดี เอมมานูเอล มาครง อาจรับคำเชิญของทรัมป์ หากสถานการณ์ด้านสุขภาพเอื้ออำนวย ขณะที่ นายกรัฐมนตรี อังเกลา แมร์เคิล ของเยอรมนี แบ่งรับแบ่งสู้ว่า ขอรอดูเหตุการณ์ก่อน
ทั้งนี้ สถานการณ์การระบาดในยุโรปดูเหมือนเบาลงแล้ว โดยทั้งจำนวนเคสใหม่และผู้เสียชีวิตลดลงต่อเนื่อง ทำให้มีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์บางอย่าง
ขณะเดียวกัน ยุโรปเริ่มหันเหความสนใจไปที่การพยายามปกป้องอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อน ซึ่งมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของภูมิภาค โดยสหภาพยุโรปได้จัดการประชุมเสมือนระดับรัฐมนตรีท่องเที่ยวเมื่อวันพุธ วันเดียวกับที่กรีซประกาศแผนรีสตาร์ทฤดูท่องเที่ยว โดยโรงแรมต่างๆ จะเริ่มเปิดให้บริการนับจากวันที่ 15 เดือนหน้า และวันที่ 1 กรกฎาคมสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ
ในส่วนของเอเชีย ประเทศต่างๆ กำลังผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองอย่างค่อยเป็นค่อยไปเช่นเดียวกัน
อินเดียแถลงว่า สายการบินภายในประเทศจะกลับมาให้บริการอีกครั้งในวันจันทร์หน้า (25) แม้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขรายงานในวันพฤหัสฯ ว่า พบผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 5,600 คน ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นสถิติรายวันสูงที่สุดของประเทศ
ด้านนิวซีแลนด์อนุญาตให้เปิดผับได้ตั้งแต่วันพฤหัสฯ แต่ยอมรับว่า กว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติจริงคงอีกนาน
วันเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น ประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินในจังหวัดโอซากา เกียวโต และ เฮียวโงะ พร้อมระบุว่า รัฐบาลจะหารือกับผู้เชี่ยวชาญในวันจันทร์หน้า (25) เกี่ยวกับสถานการณ์การระบาด และหากจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงต่อเนื่อง อาจยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินในโตเกียวและภูมิภาคโดยรอบอย่างเร็วที่สุดในสัปดาห์หน้า
ที่ปักกิ่ง เจ้า ลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ตอบโต้ทรัมป์ที่ทวีตกล่าวหาว่า จีนสังหารหมู่คนทั่วโลกจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ทั้งยังพาดพิงถึง “คนบ้า” โดยไม่ระบุชัดเจนว่า หมายถึงใคร โดย เจ้ายืนยันว่า จีนพูดความจริงและพูดด้วยเหตุผลมาตลอด รวมทั้งพยายามอย่างดีที่สุดในการปกป้องชีวิตและสุขภาพของประชาชน พร้อมย้ำว่า จีนมีทัศนคติเปิดกว้าง โปร่งใส และรับผิดชอบในการรับมือโรคระบาด
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน สำทับว่า ปักกิ่งพยายามอย่างดีที่สุดในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการจัดการกับโรคระบาด