เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตลองไปสำรวจตรวจสอบ ความเป็นไปของ “โลก” และของ “โรค” ว่าไปไหนถึงไหนกันมั่งแล้ว เพราะถ้าหากอยากจะรู้ว่าความเป็นไปของ “โลก” ในอนาคตเบื้องหน้า หรือนับจากนี้ต่อไป ว่าจะมีรูปร่าง หน้าตา ออกไปในแนวไหน อย่างไร??? ยังไงๆ...คงหนีไม่พ้นต้องนำไปเกี่ยวข้อง โยงใยกับความเป็นไปของ “โรค” อย่างมิอาจแยกออกจากกันได้โดยเด็ดขาด!!!
และอย่างที่พอเป็นที่รู้ๆ กันไปบ้างแล้ว...ว่าถ้าจะว่าถึงความเป็นไปของ “โรค” จากสถิติ ตัวเลข ตาม “ข่าวล่า-มาเรือ” เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อโรคระบาดอย่างไวรัส “COVID-19” ทั่วทั้งโลก ก็ทะลุเกินกว่า 4 ล้านคน ไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนจำนวนคนตายเพราะเชื้อโรคดังกล่าว ก็ปาเข้าไปเกือบ 3 แสนราย หรือ 275,962 ราย (ตัวเลขวันที่ 9 พ.ค. เวลา 8.00 น.) ซึ่งตามตัวเลข สถิติ ที่ว่านี้...ก็คงปฏิเสธไม่ได้อีกนั่นแหละว่า ผู้ที่ผงาดขึ้นเป็น “จ้าวโรค” คว้าตำแหน่งจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้ตายสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งในโลก ชนิดไม่มีใครคิดเบียด คิดแซง ก็คือคุณพ่ออเมริกาของเราผู้นี้...นี่เอง ที่เฉพาะจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งทะลุหลักล้าน หรือประมาณ 1,237,633 ราย ไปตั้งแต่กลางสัปดาห์ที่แล้ว เช่นเดียวกับจำนวนคนตาย หรือผู้เสียชีวิตหวิดๆ จะขึ้นไปถึงหลักแสน หรืออยู่ที่ 72,271 ราย...
และถ้าลองไล่เรียงลดหลั่นกันไปตามลำดับ...ก็ล้วนเป็นประเทศ “เบ้งๆ” ประเภทประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศรวย หรือประเทศโลกเหนือไปด้วยกันทั้งสิ้น ที่ต่างวิ่งไล่กวด ไล่ตามคุณพ่ออเมริกามาเป็นกะบิๆ ไม่ว่าอดีตประเทศ “จ้าวอาณานิคม” อย่างอังกฤษ พันธมิตรผู้ใกล้ชิดและผู้พร้อมยืนเคียงบ่า-เคียงไหล่คุณพ่ออเมริกามาโดยตลอด ที่เห็นว่าแซงจากอันดับ 4 ขึ้นเป็นอันดับ 2 ไปแล้วเมื่อวัน-สองวันนี้ ด้วยจำนวนตัวเลขคนติดเชื้อราวๆ 2 แสน ตายอีกกว่า 2 หมื่นเกือบ 3 หมื่น ส่วนอันดับ 3 และอันดับ 4 ดูจะเบียดกันไป-เบียดกันมา ระหว่างสเปนกับอิตาลี ประเทศที่ถือเป็นเสาค้ำรายสำคัญของสหภาพยุโรป สเปนนั้นดูจะนำหน้าอิตาลีประมาณเส้นยาแดงผ่าแปด คือจำนวนผู้ติดเชื้อราวๆ 2 แสน 5 จำนวนผู้ตาย 2 หมื่น 5 ขณะที่อิตาลีจำนวนผู้ติดเชื้อต่ำกว่าเล็กน้อย คือติดเชื้อราวๆ 2 แสน 1 แต่จำนวนผู้ตายมากกว่า คือราวๆ 2 แสน 9 เกือบ 3 หมื่นราย ส่วนอันดับ 5 อันดับ 6 ถ้าว่ากันตามสถิติ ตัวเลข ช่วงวันที่ 6 พฤษภาคม ก็ล้วนเป็นประเทศ “เสาหลัก” ของอียูไปด้วยกันทั้งสิ้น คือฝรั่งเศสที่ติดเชื้อราวๆ แสน 7 ตายประมาณ 2 หมื่น 5 ตามด้วยเยอรมนีติดเชื้อไปประมาณแสน 6 แต่ยังตายไม่ถึงหมื่น คือแค่ราวๆ 6 พันกว่าๆ เกือบ 7 พันราย...
สำหรับอันดับ 8 คือรัสเซีย...ที่ช่วงล่าสุด เห็นว่าอาจแซงโค้งขึ้นไปอยู่แถวๆ อันดับ 5 กันมั่งแล้ว ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มพรวดๆ พราดๆ ชนิดวันละเป็นหมื่นๆ แต่ถ้าดูจากจำนวนผู้เสียชีวิตเพราะโรคชนิดนี้ คงไม่ถึงกับน่าหวาดหวั่นขวัญสยอง ขนลุกขนพอง มากมายสักเท่าไหร่ คือยังอยู่ในระดับประมาณพันกว่าคน หรือ 1,451 ราย ตามตัวเลขเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา จากนั้น...ถึงค่อยไล่เรียงมาถึงประเทศพี่เบิ้มแห่งละตินอเมริกา อย่างบราซิล ที่แซงหน้าตุรกีขึ้นไปเป็นอันดับ 8 และทำท่าว่าอาจแซงหน้าประเทศยุโรปอีกไม่นาน-ไม่ช้าเอาเลยก็ไม่แน่ โดยเฉพาะเมื่อดันได้ผู้นำประเทศอย่าง “นายชาอีร์ โบลโซนาโร” (Jair Messias Bolsonaro) ที่ได้ชื่อว่า “ทรัมป์ 2” คือบ้าพอๆ กับ “ทรัมป์บ้า” ออกมาใส่เสื้อแดงยืนปราศรัยโดยไม่คิดใส่หน้ากากกลางฝูงชน เรียกร้อง ปลุกระดม ให้เปิดบ้าน เปิดเมือง ให้จงได้...
การที่แต่ละประเทศ...มีอันต้องเจอกับจำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ตาย จากเชื้อไวรัส “COVID-19” นับเป็นหมื่นๆ แสนๆ หรือเป็นล้านๆ ดังที่กล่าวไปแล้ว แน่ละว่า...ย่อมส่ง “ผลข้างเคียง” หรือ “ผลกระทบทางเศรษฐกิจ” ตามมา อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ แม้แต่ประเทศที่ถือเป็น “จ้าวโลก” หรือเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก อย่างคุณพ่ออเมริกา แต่เมื่อต้องกลายสภาพไปเป็น “จ้าวโรค” งานนี้...ต้องเรียกว่า ออกจะหนักหนาสาหัสกว่าใครเขาเพื่อน ตัวเลขคนว่างงานล่าสุดที่พุ่งทะลุ 14.7 เปอร์เซ็นต์ ตามสถิติของ “BLS” (US Bureau of Labor Statistics) หรืออาจสูงยิ่งไปกว่านั้น ถ้าว่ากันตามการประเมินของภาคเอกชน อเมริกันชนที่ตกงาน ว่างงาน อาจมีถึง 24-30 ล้านคนเป็นอย่างน้อย หรือสูงพอๆ กับยุค “The Great Depression” เมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย...
อังกฤษ...พันธมิตรผู้พร้อมยอมรับความเป็นสุนัขพูเดิลของอเมริกา ก็น่าจะหนักหนาสาหัสไม่น้อยไปกว่ากัน โดยเฉพาะถ้าว่ากันตามข้อสรุปของ “Bank of England” ด้วยกันเองแท้ๆ ที่ระบุไว้เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา ว่าเศรษฐกิจอังกฤษอยู่ในสภาวะตกต่ำ ย่ำแย่หนักที่สุดนับจากปี ค.ศ. 1706 หรือนับจากรอบ 300 กว่าปีที่แล้ว ไม่ต่างอะไรไปจากยุโรปทั้งยุโรป ในเมื่อเสาค้ำหรือเสาหลักของสหภาพยุโรป ไม่ว่าเยอรมนี ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี ฯลฯ ต่างออกอาการง่อนๆ แง่นๆ ไปด้วยกันทั้งสิ้น โอกาสที่จะช่วยค้ำ ช่วยยัน ไม่ให้ยุโรปทั้งยุโรปพังครืนลงมา ก็ออกจะยากเย็นแสนเข็ญยิ่งเข้าไปทุกที...
แต่สิ่งที่น่าสนใจเอามากๆ...ก็น่าจะอยู่อีตรงที่ประเทศซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก คือประเทศในเอเชีย อย่างประเทศจีน แม้จะเป็นประเทศที่เป็นจุดเริ่มต้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” แต่จะด้วยความเป็นประเทศเผด็จการ หรือจะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ ไม่เพียงสามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อให้อยู่ระดับไม่ถึงหลักแสนแบบประเทศยุโรป หรืออเมริกา คือแค่ประมาณ 82,886 ราย ตายไปแค่ 4,633 ราย ลดระดับตัวเองลงมาอยู่แค่อันดับ 11 น้อยกว่าประเทศ “จ้าวโลก” และ “จ้าวโรค” อย่างคุณพ่ออเมริกา ไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า แต่ยังมีแนวโน้มที่อาจคลี่คลาย “ผลข้างเคียง” หรือ “ผลกระทบทางเศรษฐกิจ” ที่กำลังตามมา ได้อย่างน่าทึ่ง น่าตื่นตะลึง เอามากๆ ชนิดผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจไม่ว่ารายไหน รายนั้น ต่างเห็นพ้องต้องกันไปในแนวเดียวกันว่า แนวโน้มที่เศรษฐกิจจีน “จะกลับมาโตได้ภายในปีนี้” แม้ไม่ได้เป็นไปในแบบ “V-shaped” หรือแบบก่อนหน้าที่จะเกิดการสถานการณ์ “COVID-19” แต่ก็น่าจะบวก 2-3 เปอร์เซ็นต์ได้ไม่ยาก และจะเป็นการโตที่เร็วกว่าบรรดาประเทศหลักๆ ทางเศรษฐกิจทั้งหลาย ไม่ว่ายุโรป อเมริกา เอเชียตะวันออก หรือเอเชีย-แปซิฟิก หรือจะกลายเป็นประเทศที่เศรษฐกิจกลับมาโตได้เร็วที่สุดทั้งในระดับภูมิภาคและในระดับโลก!!!
อันนี้...สรุปจากความคิด ความเห็นของบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ที่สำนักข่าว “RT” เขาจัดให้พบปะพูดคุย แสดงแนวคิดไปเมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น “นายSourabh Gupta” สมาชิกอาวุโสแห่งสถาบัน “Institute for China-America Studies” “นายTemur Umarov” ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนและเอเชียกลาง จาก “Carnegie Moscow Center” “นายSergey Lukonin” จากสถาบัน “Institute of World Economy and International Relations” ฯลฯ เป็นต้น ที่ต่างเห็นพ้องต้องกัน ว่าอาจเป็นด้วยพื้นฐานทางเศรษฐกิจจีน ไม่ว่าจำนวนหนี้สินรัฐบาลเมื่อเทียบกับ GDP ที่ไม่พุ่งกระฉูดเหมือนประเทศอื่นๆ หนี้ครัวเรือนหรือหนี้ผู้บริโภคที่สมดุลกับรายได้ รวมทั้งความละเอียด ประณีต ลึกซึ้งในการมองปัญหาด้าน “ยุทธศาสตร์” อย่างระมัดระวังมาโดยตลอด ไม่เพียงแต่จีนแสดงออกถึงขีดความสามารถในการรับมือกับภาวะ “วิกฤต” ระดับโลกได้ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ไม่ว่าครั้ง “วิกฤตการเงินเอเชีย” ปี ค.ศ.1997-98 “วิกฤตการเงินโลก” ปี ค.ศ. 2008-09 แม้แต่วิกฤตครั้งนี้...ที่อย่างน้อย “ตลาด” ที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ยังอยู่ที่จีน วัตถุดิบบางอย่างที่สำคัญสำหรับสินค้าเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่นแร่หายาก (Rare Earth) ก็อยู่ภายใต้การควบคุมของจีน จำนวนตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ 7 ใน 10 ของโลกล้วนมาจากจีน ไปจนการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่นระบบ 5G หรือ AI ที่จีนดูจะล้ำหน้ากว่าใครเขาเพื่อน ฯลฯ ผู้เชี่ยวชาญบางรายจึงต้องสรุปไว้ว่า... “วิกฤตครั้งนี้ที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง...มีแต่ต้องหันไปเชื่อมโยงกับอินเทอร์เน็ตและการให้บริการทางดิจิทัล ย่อมทำให้จีนคงรู้แล้วว่า...จะต้องเดินหน้าไปทางไหน และโตให้เร็วที่สุดได้อย่างไร?” หรือสรุปง่ายๆ ว่า...ไม่ว่าความเป็นไปของ “โรค” จะเป็นไปในแนวไหน แต่ “โลก” ในอนาคตอันใกล้ น่าจะเป็นโลกที่ต้อง “หมุนตามจีน” อย่างมิอาจปฏิเสธนั่นแล...