บลจ.กสิกรฯ มองหุ้นจีนต้นตอโควิดน่าสนใจ เหตุราคาถูกสวนทางกับหุ้นภูมิภาคอี่นที่ได้รับผลกระทบหนัก US-ยุโรป ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนจ่อติดลบ 10-30% ส่วนจีนอาจไม่ติดลบหรือเติบโตได้บางธุรกิจ ส่วนหุ้นไทยไตรมาส 2 ผันผวน จ่อปรับตัวลดลงหากคุมโควิดไม่อยู่ แต่เชื่อทั้งปีมีโอกาสแตะ 1,350 ลุ้นฝรั่งกลับเข้าลงทุนหลังสภาพคล่องล้น ถือเงินสดอื้อ
นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย กล่าวว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการลงทุนทำให้เกิดความผันผวน และส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งดูได้จากอัตราว่างงานที่สูงสุดและมีผลกระทบเป็นวงกว้างทั่วโลก รวมถึงการที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และผู้ประกอบการตกต่ำสุดมากกว่าวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 นอกจากนี้ ในปีนี้คาดว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกส่วนใหญ่จะมีอัตราติดลบประมาณ 10-30% อย่างไรก็ตาม ธนาคารโลกคาดว่าเศรษฐกิจจะหดตัวรุนแรงในครึ่งแรกของปี และค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างช้าในช่วงปลายปีนี้ถ้าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสามารถควบคุมได้ โดยมีปัจจัยหนุนจากนโยบายการเงินและการคลังทั่วโลกที่เข้าสู่ภาวะผ่อนคลายมากขึ้น และมีการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจากการลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับต่ำสุด รวมถึงการตั้งวงเงินซื้อตราสารหนี้ในตลาดจำนวนมหาศาลจากรัฐบาล
สำหรับกลยุทธ์การจัดการกองทุนต่างประเทศในปีนี้ บริษัทเน้นการกระจายความเสี่ยงเพื่อลดความผันผวน และมีการปรับน้ำหนักความเสี่ยงโดยรวมลงจากการที่โลกเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งจะเน้นสินทรัพย์ที่มีความแข็งแกร่งทางธุรกิจ และมีสัดส่วนหนี้ต่ำ สามารถจ่ายกระแสเงินสดสม่ำเสมอ โดยสินทรัพย์ที่มีความน่าสนใจประกอบด้วย หุ้นในบางอุตสาหกรรม หรือบางประเทศที่ได้รับผลกระทบจำกัด ตราสารหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือดีบางกลุ่มเริ่มกลับมาน่าสนใจเนื่องจากส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนเริ่มสูงมากขึ้น
"ทุกตลาดทั่วโลกยกเว้นจีนจะมีผลประกอบการติดลบ ซึ่งจะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับความสามารถในการกลับมาดำเนินกิจการของแต่ละประเทศ ซึ่งกระทบต่อการว่างงานและถือว่าหนักกว่าวิกฤตการเงินโลก อย่างไรก็ตาม การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบคร้้งนี้ถือว่ามากเป็นประวัติศาสตร์และจะเป็นปัจจัยบวกหลักของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ โดยการลงทุนในตอนนี้ทุกภูมิภาคมีความน่าสนใจแต่ต้องมีการคัดเลือก แต่จะให้ดีต้องมีการลงทุนให้ครบทุกตลาด แต่ในแง่ราคาประเทศจีนถือเป็นประเทศที่น่าสนใจเพราะได้รับผลกระทบน้อยที่สุดและถ้าประเมินว่าบริษัทจดทะเบียนปีนี้สหรัฐฯ และยุโรปจะติดลบ 20% แต่ตลาดจีนไม่ได้ติดลบและบางเซกเตอร์ยังมีการเติบโตที่น่าพอใจอยู่ราคาในตลาดจีนก็ถือว่าแฟร์กว่าตลาดอื่น" นายนาวินกล่าว
นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกร กล่าวว่า การลงทุนในหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ซึ่งนักลงทุนคงจะต้องเผชิญกับความผันผวนต่อไป โดยในช่วงที่ผ่านมาหลังจากตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมากว่า 20% จากระดับ 1,000 จุด สวนทางกับประมาณการผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระยะสั้นบริษัทมีมุมมองระมัดระวังต่อการลงทุน และมีการถือเงินสดเพิ่มขึ้นในระดับ 10-15% ซึ่งต่อจากนี้คาดว่าตลาดอาจมีการปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ระดับ 1,200 จุดได้ แต่อาจไม่ลงไปถึงระดับ 1,000 จุดในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม การที่นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิกว่าแสนล้านตั้งแต่ช่วงต้นปีถึงปัจจุบันทำให้บริษัทมองว่าตอนนี้นักลงทุนต่างชาติมีการลงทุนในตลาดไทยค่อนข้างน้อยแล้ว ซึ่งน่าจะมาจากค่าเงินบาทที่ทำให้มีการขายหุ้นไทยออกจากตลาด แต่ในแง่ของผู้จัดการกองทุนและนักลงทุนคาดว่าจระดับเงินสดจะอยู่ในระดับสูงและเทียบกับสภาพคล่องที่ธนาคารกลางมีการอัดฉีดเป็นจำนวนมากจะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยได้หากเห็นสัญญาณของการฟื้นตัว
"การที่ตลาดฟื้นตัวมาถึง 20% อาจมองว่าเป็นขาขึ้นได้ แต่ความจริงยังไม่ใช่เพราะมันสวนทางกับเศรษฐกิจ ถึงแม้เรามีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นในแง่การคลี่คลายของการระบาดแต่ว่าตลาดปรับตัวขึ้นมาแรงและเร็วไปแล้ว ในช่วงไตรมาส 2 หุ้นไทยอาจมีการปรับตัวลดลงเพราะผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะได้รับผลกระทบเต็มจากการแพร่ระบาดไม่เหมือนในช่วงไตรมาสแรกที่ได้รับผลกระทบเพียงครึ่งเดือน อย่างไรก็ตามต้องดูการควบคุมโรคด้วย ซึ่งถ้าทำได้ดีตลาดอาจมองผ่านและมีการมองไปข้างหน้ามากขึ้นทำให้ดัชนีไม่ปรับตัวลดลง โดยดัชนีปีนี้อาจขึ้นไปแตะที่ระดับ 1,350 ได้หากการแพร่ระบาดคลี่คลายและควบคุมได้ภายในไตรมาส 2" นางสาวธิดาศิริกล่าว