xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรฯ เชื่อหุ้นมีโอกาส 1,350 ลุ้นคุมโควิด-ศก.เริ่มฟื้น Q3

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



KAsset คาดทั้งปีกองทุนรวมฟื้นกลับ 1 ล้านล้าน​ หลังช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลดลงจากพิษโควิด-เศรษฐกิจ​ถดถอย​ ระบุ Q3 ทยอยเริ่มฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป​ แนะลงทุนหลากสินทรัพย์ช่วยกระจายเสี่ยงช่วงตลาดผันผวน​ ระบุกำไร บจ.ปีนี้ติดลบ 10% แต่หุ้นไทยอาจเห็นแตะ 1,350 ​จุด​ รอปัจจัยหนุนคุมโควิดอยู่​และการกลับเข้าลงทุนของต่างชาติ​ หลังสภาพคล่องสูงราคาหุ้นไทยน่าสนใจ

นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนในช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสและการถดถอยของเศรษฐกิ​จ ส่งผลให้สินทรัพย์​รวมลดลงจาก 5.2 ล้านล้านบาท​เหลือ​ 4.4 ล้านล้านบาท หรือลดลงประมาณ​ 14% จากช่วงต้นปีที่ผ่านมา แบ่งเป็นผลกระทบจากการปิดกองทุน 4 แสนล้านบาท​ และเป็นการลดลงของมูลค่าหน่วยลงทุน ​4 แสนล้านบาท​ โดยคาดว่าทั้งปีจะฟื้นตัวกลับมาติดลบเหลือแค่ 7%

สำหรับสินทรัพย์กองทุน​รวมที่บริษัทบริหารจัดการในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลดลงจาก 1 ล้านล้านบาท เหลือ 9.3 แสนล้านบาท โดยคาดว่าจะกลับมาอยู่ที่ 1 ล้านล้านบาทได้ภายในสิ้นปีนี้​ โดยการฟื้นตัวจะขึ้นอยู่กับการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส​ ซึ่งบริษัทคาดการณ์ไว้ไม่เกินไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ โดยหากควบคุมได้ภายในไตรมาสที่ 2 มองว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวกลับมาได้ภายในครึ่งปีหลัง ถึงแม้มีลักษณะเป็น U-Shape Recovery ที่ฟื้นตัวกลับมาอย่างช้าๆ เนื่องจากภาครัฐและธนาคารกลางทั่วโลกต่างเร่งดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อเสริมสภาพคล่อง รวมถึงการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลัง

อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนยังคงต้องติดตามปัจจัยที่มีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ได้แก่ ยอดตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัส ระยะเวลาและความเข้มงวดของมาตรการ Lockdown จากภาครัฐ รวมถึงประสิทธิภาพจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งจากภาครัฐและธนาคารกลาง

"มาตรการ 3 ด้านประกอบด้วย 1. มาตรการการเงินในการเสริมสภาพคล่อง 2. มาตรการการคลัง 3. มาตรการด้านสาธารณสุข​ เชื่อว่าสามารถช่วยคลี่คลายปัญหาและพยุงเศรษฐกิจ​ได้ในระดับหนึ่ง​ ซึ่งการลงทุนจะยังคงมีความผันผวน นักลงทุนต้องมีความระมัดระวัง​ และอยากแนะนำให้มีการกระจายการลงหลากสินทรัพย์​ โดยให้ความสำคัญต่อการลงทุนทั้งหุ้นและตราสารหนี้​ ซึ่งสัดส่วนที่แนะนำคือการลงทุนในตราสารหนี้ 80% และสินทรัพย์​เสี่ยง 20% เป็นพร์อตที่สามารถ​สร้างผลตอบแทนได้น่าพอใจในช่วงที่ผ่านมา"

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นต่อจากนี้คาดว่าผลประกอบการของบริษั​ทจดทะเบียน​ทั่วโลกจะติดลบ ​30% ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการกลับมาดำเนินธุรกิจของแต่ละประเทศ​ ส่วนแนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยปีนี้บริษัทคาดการณ์​ว่าจะติดลบที่20%จากที่เคยประเมิน​ไว้ต้นปีว่าจะเติบโต​4-6% ขณะที่ความเห็นรวมของหลาย​บริษัท​คาดว่าผลประกอบการ​ของบริษั​ทจดทะเบียนไทยทั้งปีจะติดลบที่ 10% จากเดิมที่เคยประเมินไว้ว่าจะเติบโตที่ ​10%

ตลาดหุ้นไทยภายหลังจากที่ตลาดได้มีการปรับตัวขึ้นมากว่า 20% จากจุดต่ำสุด ในขณะที่มีการปรับคาดการณ์ผลกำไรบริษัทจดทะเบียนลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ลงทุนยังคงต้องระมัดระวังความผันผวนในระยะสั้น โดยหากตลาดมีการปรับตัวลงถือเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนเพื่อผลตอบแทนในระยะยาว ทั้งนี้ คาดดัชนีปลายปีแตะ 1,350 จุด บนสมมติฐานว่าสถานการณ์ COVID-19 สามารถควบคุมได้ภายในไตรมาสที่ 2 สะท้อน Forward P/E ปี 2564 ที่ 15 เท่า โดยคาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2563 จะติดลบจากปีก่อนหน้าประมาณ 20% และจะสามารถกลับมาเติบโตได้เป็นปกติในปี 2564

"ตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับสัญญาณ​การคลี่คลายของการแพร่ระบาด​ และจากสถานการณ์​ปัจจุบันมีโอกาสที่จะขึ้นไปแตะระดับที่ 1,350 จุด​ถ้าโควิดควบคุมได้ ​ซึ่งเป็นตัวเลขที่เราดูจากตัวแปรที่มีการต่ออายุ​พ.ร.ก.ฉุกเฉิน​และปิดห้างไปถึงเดือนหน้า ​แต่ก็มีโอกาสลดลงไปอยู่ที่ 1,200 จุดได้​ และเชื่อว่าคงไม่ลงไปต่ำกว่า 1,000 จุด​ ซึ่งแนวรับสุดท้ายน่าจะอยู่ที่ 1,100 จุด​ โดยที่ผ่านมาต่างชาติทยอยขายมาอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันด้วยราคาหุ้นไทยที่เริ่มกลับมาน่าสนใจ​ และสภาพคล่องที่มีอยู่จากมาตรการภาครัฐอาจเห็นการกลับเข้ามาลงทุนของต่างชาติอีกครั้ง แต่ต้องขึ้นอยู่กับทิศทางค่าเงินบาทด้วยว่าจะแข็งค่าขึ้นหรือไม่" นายวศินกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น