หลังจากทรุดฮวบสร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่ระดับ 969 จุด เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นได้ดีดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทะยานขึ้นมาปิดที่ระดับ 1,252 จุด เมื่อวันที่ 21 เมษายน โดยเพิ่มขึ้นเกือบ 300 จุด ท่ามกลางคำถามว่า ตลาดหุ้นฟื้นจริงหรือไม่
การฟื้นตัวของตลาดหุ้น ได้รับคำอธิบายจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โบรกเกอร์สำนักต่างๆ ว่า เกิดจากราคาหุ้นปรับตัวลงมากเกินไป และยังได้รับแรงหนุนจากดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง จากระดับ 18,000 จุด ทะยานขึ้นมายืนระดับ 24,000 จุด
รวมทั้งยังมีความคาดหวังว่า รัฐบาลจะผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ โดยอาจเปิดให้บางธุรกิจกลับมาดำเนินการ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจเริ่มกระเตื้องขึ้น
อย่างไรก็ตาม ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นที่สดใสขึ้น นักลงทุนต่างชาติไม่มีส่วนร่วมแต่อย่างใด เพราะ แรงซื้อส่วนใหญ่ในรอบนี้ เกิดจากนักลงทุนภายในประเทศล้วนๆ โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อยและกองทุนรวม ซึ่งผลัดกันซื้อ เพียงแต่ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา กองทุนซื้อหนักมาตลอด
แรงซื้อจากกองทุน ส่วนหนึ่งน่าจะมีจากกองทุนเพื่อการออมพิเศษ หรือ SSF ซึ่งให้สิทธินักลงทุนที่ซื้อหน่วยลงทุนกองทุน SSF ระหว่างวันที่ 1 เมษายน-30 มิถุนายน 2563 สามารถนำเงินไปลดหย่อนภาษีได้ 2 แสนบาท และเงินจากกองทุนเริ่มทยอยเข้ามาในตลาดหุ้น
การพุ่งทะยานของดัชนีหุ้น เป็นสิ่งที่สวนความรู้สึกของคนที่อยู่นอกตลาดหุ้นมาตลอด เพราะหุ้นไม่น่าจะดีดตัวกลับได้แรง เนื่องจากวิกฤตเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังลุกลามในหลายประเทศ เศรษฐกิจโลกรับผลกระทบอย่างหนัก เศรษฐกิจไทยยังซบเซาสุดขีด ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ถูกคาดหมายว่าจะตกต่ำ โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 2
และต่างชาติยังปักหลักขายหุ้นทิ้ง ทำให้ยอดขายหุ้นสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปีมีจำนวน 150,558.04 ล้านบาท
นักลงทุนอาจเบิกบานกับบรรยากาศการซื้อขายหุ้นที่คึกคัก แต่คนทั่วไปหุ้นกลับมีความหวั่นไหวในความร้อนแรงของตลาดหุ้น เพราะไม่เชื่อว่า หุ้นจะกลับสู่ขาขึ้นจริง และกังวลว่าจะทรุดตัวลงไปใหม่ และทำให้แมลงเม่าขาดทุนกันอีก
ขณะที่สัญญาณการปรับฐานของตลาดหุ้นก็เริ่มปรากฏขึ้นแล้ว
ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ที่พุ่งทะยานมาม้วนเดือนกว่า 5,000 จุด ทำท่าจะหมดแรง โดยเมื่อวันจันทร์ปรับตัวลง 592 จุด และมีแนวโน้มที่จะดิ่งลงต่อเนื่อง ส่วนราคาน้ำมันสัญญาส่งมอบล่วงหน้าทรุดตัวหนัก สร้างจุดต่ำสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ติดลบ 37 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากปริมาณล้นตลาด สต๊อกน้ำมันแต่ละประเทศเต็มไปหมด
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวในครั้งนี้มีลักษณะของฟองสบู่ เพราะไม่ได้เกิดจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจ แต่เกิดจากการพิมพ์ดอลลาร์อัดฉีดเข้ามาสู่ระบบ กระตุ้นให้เกิดการลงทุน เงินจำนวนมหาศาลไหลเข้ามาสู่ตลาดหุ้น เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทย ซึ่งการดีดกลับไม่ได้เกิดจากการขับเคลื่อนด้วยปัจจัยพื้นฐาน
แต่เกิดจากความคาดหวังว่า รัฐบาลจะผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้น และแนวโน้มดัชนีหุ้นน่าจะขึ้นไปแตะที่ระดับ1,300 จุด
ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ชี้นำตลาดหุ้นไทยมาหลายสัปดาห์แล้ว โดยดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นมารอบนี้ประมาณ 30% ดัชนีหุ้นไทยรอบนี้ก็ฟื้นตัวขึ้นมาระดับเดียวกันคือประมาณ 30% แต่ดาวโจนส์กำลังปักหัวลง และฉุดให้ดัชนีหุ้นไทยทรุดลงตาม โดยมีราคาน้ำมันเป็นปัจจัยลบซ้ำเติม
สัญญาณหุ้น “ขาลง” รอบใหม่กำลังปรากฏ นักลงทุนจึงเตรียมตั้งท่าถอยไว้บ้าง เพราะอยู่ในภาวะที่ยังถอยได้ทัน
ปล่อยให้กองทุนยืนสวนหมัดกับแรงขายฝรั่งดีกว่า ไม่จำเป็นอย่างเสี่ยงเจ็บตัว เพราะหุ้นยังน่าจะไม่กลับเข้าสู่ “ขาขึ้น” เต็มตัว
และ สถานการณ์ที่เลวร้ายสุดๆ ของตลาดหุ้นอาจยังไม่ผ่านพ้น ก็ได้