xs
xsm
sm
md
lg

บทความ

x

ชนวนสงครามในแคริบเบียน???

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


โมฮัมหมัด จาวาด ซารีฟ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน
วันนี้...คงต้องขออนุญาตชวนให้ลองแวะๆ ไปแถว “ทะเลแคริบเบียน” แถวๆ ละตินอเมริกากันดูสักหน่อย เพราะโอกาสที่อาณาบริเวณพื้นที่แห่งนี้ อาจถูกแปรสภาพให้กลายเป็นตัว “จุดชนวนสงคราม” ไม่ว่าระดับย่อยๆ หรือใหญ่ๆ ชักเริ่มๆ มีโอกาสเป็นไปได้ขึ้นมามั่งแล้ว โดยที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับ “แผนรัฐประหาร” หรือ “แผนลอบสังหาร” ผู้นำประเทศ “สวนหลังบ้าน” ของอเมริกา อย่างผู้นำเวเนซุเอลา ที่ “แห้วกระป๋อง” หรือล้มเหลวลงไปเรียบร้อยแล้ว แต่ดันไปเกี่ยวข้องกับประเทศ “คู่กัด” ของอเมริกา อย่างอิหร่าน ที่แม้จะอยู่ไกลกันไปคนละซีกโลกแถวๆ อ่าวเปอร์เซียโน่นเลย...

คือด้วยเหตุเพราะทั้งประเทศอิหร่านและเวเนซุเอลา...ต่างก็เป็นประเทศที่ถูกคุณพ่ออเมริกาประกาศ “แซงชั่น” ด้วยกันทั้งคู่มานานแล้ว ห้ามไม่ให้ประเทศใดๆ ก็ตาม ไปค้าๆ-ขายๆ ไปทำธุรกิจ ธุรกรรมใดๆ กับทั้งสองประเทศนี้เป็นเด็ดขาด แต่เมื่อทั้งสองประเทศตัดสินใจหันมาค้า-ขายกันเอง แม้จะเป็นประเทศผู้ส่งออก ผู้ผลิตน้ำมันด้วยกันทั้งคู่ แต่อาจด้วยเหตุเพราะน้ำมันของเวเนซุเอลาที่โรงกลั่นโดยส่วนใหญ่อยู่ในอเมริกา ถูกคุณพ่ออเมริกายึดทั้งตัวน้ำมัน ทั้งรายได้จากน้ำมันไปซะเกลี้ยง เวเนซุเอลาก็เลยต้องหันไปสั่งซื้อน้ำมันจากอิหร่านกันแทนที่ โดยจะใช้ “ทองคำ” หรือสิ่งของใดๆ เป็นเครื่องตอบแทนก็แล้วแต่...

เมื่อได้รับ “ดีมานด์” หรือได้รับคำสั่งซื้อจากเวเนซุเอลาเช่นนี้ เรือบรรทุกน้ำมันอิหร่าน 5 ลำ ติดธงชาติอิหร่าน คือเรือ “Fortune” เรือ “Petunia” เรือ “Forest”, “Faxon” และ “Clavel” จึงได้บรรทุกน้ำมันออกจากท่าเรือบันดาร์อับบาส ในอ่าวเปอร์เซีย ตัดผ่านคลองสุเอซ ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก มุ่งหน้าไปสู่ทะเลแคริบเบียน เพื่อที่จะนำเอาน้ำมันอิหร่าน ไปซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนกับอะไรก็ตามของเวเนซุเอลา ตามหลักการค้าขายโดยเสรี และตามหลักความเป็นเอกราชและอธิปไตย ที่โลกทั้งโลกยังคงต้องให้ความยอมรับต่อประเทศทั้งสอง แม้จะถูก “แซงชั่น” โดยประเทศมหาอำนาจสูงสุด อย่างอเมริกาก็ตาม...

แต่ก็นั่นแหละ...ในเมื่อโลกทั้งโลกในทัศนะอเมริกา ยังคงออกไปในแนว “โลกของข้า...ใครอย่าแตะ” ข่าวคราวความเคลื่อนไหวทางทหาร ถึงแผนปฏิบัติการในการ “ยึดเรือน้ำมันอิหร่าน” ไม่ว่าแบบซึ่งๆ หน้า หรือแบบ “โจรสลัด” ก็จึงถูกแพร่กระจายออกมาจากฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐฯ หรือจาก “เพนตากอน” อย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการ เกิดข่าวคราวการส่งเรือรบอเมริกันจำนวนถึง 4 ลำ ไม่ว่าเรือ “USS Detroit” (LCS7) เรือ “USS Farragut” (DDG 99) เรือ “USS Preble” (DDG 88) เรือ “USS Lassen” “DDG 82” ที่ติดจรวดนำวิถี ติดอาวุธครบเครื่อง พร้อมด้วยเครื่องบินลาดตระเวน “Boeing P8-Poseidon” เข้าสู่น่านน้ำแคริบเบียน เพื่อเตรียมเล่นงาน เตรียมสกัดขัดขวาง หรือเตรียมยึดเรือบรรทุกน้ำมันอิหร่านทั้ง 5 ลำ เพื่อไม่ให้มีโอกาสซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนใดๆ กับประเทศเวเนซุเอลาได้โดยเด็ดขาด...

จากข่าวคราวความเคลื่อนไหวดังกล่าว...จึงทำให้ประเทศที่ยังคงดำรงไว้ซึ่งเอกราชและอธิปไตยอย่างอิหร่าน หนีไม่พ้นต้องออกมาเอะอะโวยวายเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ไม่ว่าโดยรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน “นายโมฮัมหมัด จาวาด ซารีฟ” (Mohammad Javad Zarif) ที่ต้องทำจดหมายฟ้องร้องไปถึงสหประชาชาติ เมื่อช่วงวันเสาร์ (16 พ.ค.) ที่ผ่านมา โฆษกกระทรวงต่างประเทศ “นายอับบาส มูซาวี” (Abbas Mousavi) ที่ออกมา “ส่งสัญญาณ” ว่าการกระทำใดๆ ของเรือรบอเมริกันต่อเรือบรรทุกน้ำมันอิหร่านในน่านน้ำทะเลแคริบเบียนนั้น จะต้องได้รับการ “ตอบโต้-เอาคืน” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้โดยเด็ดขาด ไปจนถึงโฆษกรัฐบาลอิหร่าน “นายอาลี ราบิยี” (Ali Rabiyee) ที่ออกมาย้ำ มาเน้น ให้เห็นว่า “อิหร่านและเวเนซุเอลา ต่างเป็นประเทศที่มีอธิปไตยเป็นของตัวเอง อันย่อมสามารถซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนสิ่งใดๆ ระหว่างกันและกันตามหลักการค้าขายโดยเสรีได้เสมอ”...

แม้ว่าโดย “ข่าวล่า-มาเรือ” ยังไม่อาจสรุปได้ว่า...การยึดเรือ หรือการอาศัย “โจรสลัด” รายใดเป็นเครื่องมือ เพื่อเล่นงานเรือบรรทุกน้ำมันอิหร่านในน่านน้ำทะเลแคริบเบียน จะอุบัติขึ้นมาหรือไม่ อย่างไร แต่ถ้าหากเกิดอะไรก็ตามกับกองเรือเหล่านี้ โอกาสที่จะบานปลาย ปลายบาน โอกาสที่จะนำไปสู่ฉากเหตุการณ์ อันไม่ต่างไปจากการ “จุดชนวนสงคราม” ไม่ว่าระดับย่อมๆ หรือระดับใหญ่ๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย เพราะโดยแนวทางการ “ตอบโต้-เอาคืน” ของอิหร่านนั้น อย่างน้อย...ก็เคยส่งผลให้ทหารอเมริกันนับร้อยๆ ต้อง “บาดเจ็บทางสมอง” กันมาบ้างแล้ว เช่นการแก้แค้น-เอาคืน หลังกรณีผู้นำทางทหารอิหร่านอย่างพลเอก “สุไลมาน” ถูกรัฐบาลอเมริกันลอบสังหาร เป็นต้น การหันมาตอบโต้ ด้วยวิธียึดเรือสินค้าอเมริกันรายใดก็ตาม ที่แล่นไป-แล่นมาอยู่แถวๆ อ่าวเปอร์เซีย ทะเลโอมาน ทะเลแดง และมหาสมุทรอินเดีย ฯลฯ จึงอาจเป็นฉากสถานการณ์ที่ตามมาได้ไม่ยากส์ส์ส์ ถ้าหากรัฐบาลหรือกองทัพอเมริกันคิดจะ “จุดชนวนสงคราม” ขึ้นมาจริงๆ...

อันนี้นี่แหละ...เลยเป็นสิ่งที่คงต้องพยายามจับตาแบบไม่กะพริบตาเอาไว้มั่ง ว่าสิ่งเหล่านี้ เหตุการณ์เหล่านี้ มันจะนำไปสู่ความตึงตัง โครมคราม นำไปสู่ความบานปลาย ปลายบานไปได้ถึงขั้นไหน??? เพราะอย่างที่บอกๆ เอาไว้แล้วนั่นแหละว่า สำหรับ “ประเทศจักรวรรดินิยม” หรือประเทศที่ถูกขับเคลื่อนภายใต้ “ลัทธิจักรวรรดินิยม” อย่างอเมริกาแล้ว มีแต่ “สงคราม” เท่านั้น ที่ถือเป็นทางออก ทางรอด และทางไป สำหรับประเทศที่ถูก “ออกแบบ” มาในลักษณะเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็น “สงครามกลางเมือง” ในอเมริกาเอง “สงครามโลกครั้ง 1” “สงครามโลกครั้งที่ 2” “สงครามเย็น” ไปจนถึง “สงครามกับผู้ก่อการร้าย” ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นองค์ประกอบสำคัญอันมิอาจปฏิเสธได้ ในกระบวนการพัฒนา การเจริญเติบโตของประเทศจักรวรรดินิยมอย่างอเมริกา ไม่ต่างอะไรไปจากอดีตประเทศจักรวรรดินิยมทั้งหลาย...

ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า...จะเลือกใครมาเป็น “เหยื่อ” หรือจะเลือกฉากสถานการณ์แบบใด ที่ทำให้ตัวเองสามารถอยู่รอดปลอดภัย และสามารถขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนา ฟื้นฟูความเจริญเติบโต ไปตามเส้นทางที่ว่านี้ต่อไปได้ ซึ่งย่อมไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการขึ้นดอกเบี้ย ลดดอกเบี้ย การทำ “QE” การพิมพ์เงินดอลลาร์ออกสู่ตลาด การได้เปรียบ เสียเปรียบดุลการค้า ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไร ที่ยังไงๆ...มันคงไม่ได้ช่วยให้มีโอกาสอยู่รอดปลอดภัยได้เลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะในภาวะที่ประเทศทั้งประเทศท่วมท้นไปด้วย “หนี้” ชนิดไม่ว่าจะเกิดเป็นสุธีอีกสักกี่ชาติต่อกี่ชาติ ก็ไม่มีวันชดใช้ได้หมด มันจึงเหลืออยู่แค่ “สงคราม” เท่านั้นเหลืออยู่แค่พลังอำนาจในการกำหนด “สงครามและสันติภาพ” เหลืออยู่แค่ “Pax America” แบบเดียวกับ “Pax Romana” นั่นเอง ที่พอช่วยให้เกิดความอยู่รอดปลอดภัย ช่วยให้เกิดทางออก ทางไป สำหรับผู้ที่เลือกเดินในเส้นทาง “จักรวรรดินิยม” ทั้งหลาย สิ่งที่คงต้องจับตากันต่อไป จึงขึ้นอยู่กับว่า “เมื่อไหร่-แบบไหน-และอย่างไร???” เท่านั้นเอง...
กำลังโหลดความคิดเห็น