เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องแวะไปดูผู้นำโลกอย่าง “คุณพ่ออเมริกา” ไว้ก่อนนั่นแหละทั่น น่าจะเหมาะที่สุด หรือน่าจะเป็นตัวชี้ทิศ ชี้ทาง ความเป็นไปของโลกได้บ้างตามสมควร โดยเฉพาะเมื่อประเทศที่ “มีกรรม” จึงได้ “ทรัมป์” มาเป็นนายขายหน้าเอย ประเทศนี้ ที่อาจารย์ “ปราโมทย์ นาครทรรพ” ท่านได้รจนาเอาไว้ กำลังเจอกับแรงกด แรงบีบระดับหนักหนาสาหัสไปทั้ง 2 ซีก 2 ด้าน ชนิดแทบ “ไปไม่เป็น” หรือจำบ้านเลขที่ไม่ได้ หาทางเข้ามุมแทบไม่เจอ อะไรประมาณนั้น...
คือแค่เฉพาะแรงกด แรงบีบ จากการอาละวาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” จนได้ตำแหน่ง “จ้าวโรค” ไปครองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครคิดท้าแข่ง ท้าประลอง เพื่อแย่งฐานะประเทศที่ติดเชื้อสูงสุด ตายสูงสุดอีกต่อไป ก็เล่นเอาผู้นำสูงสุดของประเทศ อย่าง “ทรัมป์บ้า” ถึงกับออกอาการ “ติ๊งต๊อง” อย่างเห็นได้ชัด คือถึงขั้นออกมาชี้แนะ ชี้นำ ให้บุคลากรทางการแพทย์ในอเมริกา หาทางพ่น อัดฉีด ลำแสงยูวีเข้าไปในรูตะหมูก หรือรูตูด ผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อ “COVID-19” ก็แล้วแต่ ด้วยความเชื่อว่าความร้อน และความชื้น สามารถฆ่าเชื้อโคโรนาไวรัสตัวนี้ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ตามที่ผู้เชี่ยวชาญบางรายนำเสนอข้อมูลทำนองนี้ให้กับทำเนียบขาว ชนิดเล่นเอา “ฮาครืน” กันไปแทบจะทั้งโลก...
ส่วนแรงกด แรงบีบ อีกด้าน...คือเรื่องเศรษฐกิจ ก็ออกจะหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยถ้าว่ากันตามตัวเลขสถิติของหน่วยงานด้านแรงงาน อย่าง “US Labor Department” เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ (23 เม.ย.) ที่ผ่านมา เห็นว่า “ตัวเลขว่างงาน” ล่าสุดในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นไปอีก 4.4 ล้านราย หรือรวมแล้วประมาณ 26.4 ล้านรายจนทุกวันนี้ โดยถ้าว่ากันตามตัวเลขสถิติของภาคเอกชน อย่าง “Morgan Stanley” แนวโน้มที่เดือนหน้า หรือเดือนพฤษภาคม ตัวเลขที่ว่าจะพุ่งขึ้นไปเทียบเท่ากับยุควิกฤตเศรษฐกิจเมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว หรือยุค “The Great Depression” ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ ด้วยเหตุนี้...ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบอย่าง “ทรัมป์บ้า” เลยต้องละเมอเพ้อพก หาทางออก-ทางไป ในแบบ...ต๊องแล้ว ต๊องอีก เช่นความพยายามรักษาตำแหน่งงานนับหมื่นๆ แสนๆ ตำแหน่ง ให้กับอุตสาหกรรมพลังงาน ด้วยการขออนุมัติเม็ดเงินงบประมาณเพื่อซื้อ “น้ำมัน” ซึ่งถูกยิ่งกว่าขี้ ไปเก็บสำรองในคลังยุทธศาสตร์ ที่ล้นแล้ว ล้นอีก จนแทบไม่ไหวจะเก็บ หรือใช้วิธีขายตั๋วเครื่องบินล่วงหน้า เพื่อนำเงินมาอุดหนุนอุตสาหกรรมพลังงานและการบิน ที่กำลังใกล้เจ๊ง หรือเจ๊งไปแล้วกว่าครึ่งประเทศ ไปจนกระทั่งออกมายุ ออกมาปลุกระดมให้อเมริกันชนลุกฮือ ขึ้น “ปลดปล่อย” รัฐโน้น รัฐนี้ จากคำสั่งการเว้นระยะห่างของผู้ว่าการรัฐฝ่ายตรงกันข้าม ฯลฯ...
ซึ่งการหาทางออก-ทางไป ในลักษณะทำนองนี้...อาจไม่ตรงกับความเป็น “อเมริกัน สไตล์” มากมายสักเท่าไหร่ เพราะถ้าย้อนไปดูประวัติศาสตร์ความเป็นอเมริกาในแต่ละช่วง แต่ละระยะ ทางออกที่รัฐบาลอเมริกันแต่ละยุค แต่ละสมัย ไม่ว่าช่วงก่อนหน้ายุค “The Great Depression” หรือหลังจากนั้น มักหันไปใช้ “สงคราม” ในรูปแบบต่างๆ นั่นแหละ เป็นทางออกมาโดยตลอด ชนิดไม่ว่าผู้เชี่ยวชาญรายไหน รายนั้น อย่างเช่น “ชาร์ลส์ เนนเนอร์” (Charles Nenner) แห่งโกลด์แมน แซคส์ “มาร์ค เฟเบอร์” (Marc Faber) นักเศรษฐศาสตร์ผู้โด่งดังจากมหาวิทยาลัยซูริค หรือ “เจอรัลด์ เซเลนเต” (Gerald Celente) หมอดูทางเศรษฐกิจที่ทำนายวิกฤตต่างๆ ชนิดแม่นยำราวตาเห็น ฯลฯ ต่างเห็นไปในแนวเดียวกันว่า ภายใต้แรงกด แรงบีบทางเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากความเป็น “ทุนนิยมและจักรวรรดินิยม” ของอเมริกาเอง การอาศัย “สงคราม” นี่แหละ ถือเป็น “ทางออกที่แท้จริง” ของรัฐบาลอเมริกันในแต่ละยุค แต่ละสมัย ไม่ใช่การพิมพ์เงิน การอัดฉีดเงิน หรือการหากรรมวิธีแบบติ๊งๆ ต๊องๆ แต่อย่างใด...
“ชาร์ลส์ เนนเนอร์” นั้นเคยทำนายทายทักไว้กับโทรทัศน์ “Fox News” ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011 ว่า “สงครามขนาดใหญ่เพื่อช่วยกลบเกลื่อนความล้มเหลวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ” ย่อมต้องเกิดขึ้นไม่ว่าเร็วหรือช้า ส่วน “มาร์ค เฟเบอร์” สรุปเอาไว้ประมาณว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยวิธีที่เรียกว่า “QE” (Quantitative Easing) ของรัฐบาล หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ นั้น นอกจาก QE1 จนถึง QE3 แล้ว ยังอาจตามมาด้วย QE4, QE5, QE6 ฯลฯ ไปจนกระทั่ง “เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างล้มครืนลงมา...นั่นก็คือจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 3” เช่นเดียวกับ “เจอรัลด์ เซเลนเต” ที่เห็นว่า กรรมวิธีแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยวิธีอัดฉีด การใช้จ่าย หรือการกระตุ้นอะไรต่อมิอะไร ตามแบบที่เรียกว่า “ลัทธิเคนเนเชี่ยน” (Keynesian Doctrine) นั้น ไม่มีอะไรที่ส่งผลได้ “รวดเร็วที่สุด” เท่ากับ “การใช้จ่ายทางทหาร” และนั่นเองที่ทำให้ทางออก ทางไปของรัฐบาลอเมริกาในแทบทุกครั้ง แม้แต่ครั้ง “The Great Depression” ก็ตาม หนีไม่พ้นต้องอาศัย “สงคราม” หรืออาศัย “ลัทธิเคนเนเชี่ยนทางทหาร” (Military Keynesianism) เป็นทางออกเสมอๆ...
ดังนั้น...ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ผู้นำอเมริกันออกมา “ขู่” ประเทศคู่กัดอย่างอิหร่าน ถึงขั้นสั่งให้เรือรบอเมริกันสามารถตัดสินใจยิงเรือลาดตระเวนอิหร่านรายใดก็ตาม ที่เข้ามารบกวน ก่อกวนในน่านน้ำอ่าวเปอร์เซียได้ทันที ด้วยอากัปกิริยาเช่นนี้ เลยทำให้บรรดานักวิเคราะห์ รวมไปถึง “นักเก็งกำไร” ออกอาการหูผึ่งกันไปมิใช่น้อย เพราะถ้านำไปสู่การ “จุดชนวนสงคราม” ขึ้นมาในอ่าวเปอร์เซีย ในเส้นทางลำเลียงน้ำมัน 20 เปอร์เซ็นต์ของโลกขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะก็ “อุตสาหกรรมน้ำมันเชลล์ ออยล์” ของอเมริกา ย่อมต้องมีโอกาสหายใจทางปาก หรือทางเหงือกขึ้นมาได้มั่ง ไม่ต้องเจ๊งระเนนระนาดแบบที่กำลังเจ๊งๆ อยู่ในทุกวันนี้ อันส่งผลให้ “ตำแหน่งงาน” นับหมื่นๆ ตำแหน่ง ต้องหลุดลอยหายวับไปกับตา หรือทำให้ความพยายามหาทางให้ประเทศอเมริกาเป็น “อิสระทางด้านพลังงาน” (Energy Independence) เพื่อจะกลับมา “Great Again” ได้อย่างเป็นเนื้อ เป็นหนัง ย่อมมีอันต้อง “พัง” ตามไปด้วย...
แต่เอาไป-เอามา...โอกาสที่คำ “ขู่” เช่นนี้ จะเป็นจริง-เป็นจัง มันคงไม่ถึงกับ “ง่าย” กันสักเท่าไหร่นัก เพราะไม่เพียงแต่ผู้นำทางทหารอิหร่าน อย่างผู้บัญชาการกองกำลังด้านอวกาศ IRGC (Iran Islamic Revolutionary Guards Corps) นายพล “Amir Ali Hajizadeh” จะออกมาป่าวประกาศแบบเสียงดังฟังชัดว่า อิหร่านพร้อมแล้ว...ที่จะโจมตีเป้าหมายทางทหารของสหรัฐฯ ประมาณ 400 จุด เมื่อไหร่ที่อเมริกาคิดเปิดศึกกับอิหร่าน คือเฉพาะแค่เป้าหมายฐานทัพ “Ain al-Assad” ของอเมริกาในอิรักที่ถูกแก้แค้น เอาคืน หลังการตายของนายพล “สุไลมานี” ก็เล่นเอาทหารอเมริกัน “บาดเจ็บทางสมอง” ไปเป็นร้อยๆ ยิ่งเมื่อได้เห็นการปล่อยจรวด ส่งดาวเทียมทางทหาร “Noor-1” ของอิหร่านด้วยแล้ว โอกาสที่จะใช้ “สงคราม” เป็นทางออก ก็ยิ่งน่าจะลำบากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...
พูดง่ายๆ ว่า...ไม่มียุคใด สมัยใด ที่ผู้ซึ่งอเมริกาคิดสถาปนาให้เป็น “ศัตรู” ของตัวเอง ไม่ว่าอิหร่าน จีน หรือรัสเซีย จะมีความแข็งแกร่ง ชนิดพอฟัด พอเหวี่ยงกับ “เครื่องจักรสงคราม” ของอเมริกาได้เท่ากับยุคนี้ และไม่มียุคใดที่อเมริกาเกิดอาการอ่อนแอ และโดดเดี่ยว ชนิดหามิตร หาเพื่อน แทบไม่เจอ หลัง “ทรัมป์บ้า” ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศแค่ไม่กี่ปี อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง เลยทำให้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ตามกรรมวิธีที่เรียกว่า “เคนเนเชี่ยนทางทหาร” ซึ่งเคยได้ผลมาโดยตลอด ชักไม่ได้ผลต่อไปอีกแล้ว คือแค่ช่วยให้ราคาน้ำมันในตลาดอเมริกา (WTI) ที่เคยถูกซะยิ่งกว่าขี้ ผงกหัวมาอยู่ที่ 16.87 ดอลลาร์ ช่วงวันพฤหัสฯ (23 เม.ย.) ที่ผ่านมา แต่กระนั้น...ก็ยังคงเป็นราคาที่ “ต่ำกว่าต้นทุนการผลิต” น้ำมัน “เชลล์ ออยล์” เกือบ 4 เท่า 5 เท่า หรืออาจสรุปได้ว่าเมื่อมาถึง ณ ขณะนี้ การอาศัย “สงคราม” เป็นทางออก ชักเริ่มกลายเป็น “ทางตัน” ยิ่งเข้าไปทุกที อนาคต “จักรวรรดินิยมอเมริกา” จึงอาจเป็นไปในแนวที่ “หมอดูรัสเซีย” “นายอิกอร์ ปานาริน” เคยดูดวงไว้ก่อนหน้านี้นั่นแหละว่า โอกาสที่ต้องล่มสลาย หรือต้องแตกออกเป็น 6 ประเทศอิสระ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาซะเลย!!!