ปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องปิดกันด้วยเรื่องราวของคุณพ่ออเมริกาเขาอีกนั่นแหละ เพราะอย่างที่ว่าเอาไว้ในตอนเปิดฉากเมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา ว่า “เชื้อ COVID-19 ทำให้อเมริกา...บ้าไปแล้ว” ดังนั้น...ท่ามกลางความบ้า ความคลั่ง หรือการแสดงอาการฟาดงวง ฟาดงาของผู้นำสูงสุดระดับประธานาธิบดีอเมริกัน ที่หันมาด่า หันมาโยนขี้ให้กับองค์กรระหว่างประเทศ อย่าง “WHO” ถึงขั้นขู่ตัดเงินช่วยเหลือเอาเลยถึงขั้นนั้น คงต้องเก็บเอามาคิดมาพิจารณาไว้มั่งเหมือนกัน จะมองเป็นแค่ความฉุนฉิวกริ้วโกรธ เป็นแค่อาการน็อตหลุม น็อตหลวมธรรมดาๆ...ไม่น่าจะได้ หรือไม่น่าจะปลอดภัยกันสักเท่าไหร่นัก อย่างน้อยก็น่าจะกะระยะห่าง หรือน่าจะโซเชียล ดิสแทนซิ่ง เอาไว้ก่อนล่วงหน้า...
คือแม้ว่าการโยนบาป โยนขี้ ให้กับผู้ใด ผู้หนึ่งของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” นั้น ย่อมถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา หรือเป็นบุคลิกโดยเฉพาะของประธานาธิบดีผู้นี้มาโดยตลอด แต่การกล่าวหา “WHO” ว่าออกไปทาง “อวยจีน” หรือให้ความสนใจกับประเทศจีนซะเป็นหลัก ปล่อยให้อเมริกาต้องหลงทิศ หลงทาง ต้องเจอเชื้อโคโรนาไวรัส “COVID-19” สวาปามปอด ตับ ไต จนกลายเป็น “จ้าวโรค” แทนที่จะเป็น “จ้าวโลก” อย่างที่อเมริกาปรารถนาและต้องการ ถือเป็นโยนบาป โยนขี้ อย่างมี “นัยสำคัญ” พอสมควร หรือเท่ากับเป็นการกระทบชิ่ง แคนนอน ไปถึงมหาอำนาจคู่แข่งรายสำคัญอย่างประเทศจีน ที่มาแรงแซงโค้ง ไล่บด ไล่บี้ หายใจรดต้นคอประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา และทำท่าว่าอาจแซงหน้าในโค้งนี้ หรือโค้งสุดท้าย เอาง่ายๆ...
ซึ่งการออกมาโยนบาป โยนขี้ ในลักษณะเช่นนี้...คงไม่ใช่มีแต่แค่เฉพาะผู้นำอเมริกันรายนี้ รายเดียวเท่านั้น แต่ต้องเรียกว่าบรรดา “นักการเมืองอเมริกัน” จำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะประเภทออกไปทางสุดโต่ง สุดสวิงทั้งหลาย ต่างออกมากันเป็นแผงๆ ในลักษณะแทบไม่ต่างอะไรไปจากกัน ไม่ว่า “นายมาร์โค รูบิโอ” (Marco Rubio) วุฒิสมาชิกรัฐฟลอริดา ผู้ที่เคยทั้งยุ ทั้งเชียร์ ให้ส่งทหารอเมริกันบุกไปยึดประเทศเวเนซุเอลาให้รู้แล้ว รู้แรดไปซะที “นายเท็ด ครูซ” (Ted Cruz) วุฒิสมาชิกรัฐเท็กซัส ผู้เป็นคอหอย ลูกกระเดือกกับ “นายรูบิโอ” มาโดยตลอด ตลอดไปจน “ไอ้หนวดอำมหิต” “นายจอห์น โบลตัน” (John Bolton) อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงประธานาธิบดี ที่ถูก “ทรัมป์บ้า” ถีบทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว แต่มาคราวนี้...ก็อดไม่ได้ที่จะออกมาเสนอหน้าเรียกร้องให้ ผู้อำนวยการ “WHO” “นายTedros Adhanom Ghebreysus” ลาออกจากตำแหน่งโดยเร็วที่สุด ด้วยเหตุเพราะถือเป็น “ผู้สมคบกับจีน” ในกรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” ไม่ว่าในทางใด ก็ทางหนึ่ง...
และที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น...ก็คือ “นายสตีฟ แบนนอน” (Stephen K. Bannon) อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงรายแรก และถือเป็นผู้มีส่วนสำคัญเอามากๆ ในการส่งให้ “ทรัมป์บ้า” มีโอกาสผงาดขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีอเมริกันแบบชนิด “หักปากกาเซียน” มาตั้งแต่แรก ที่ได้ใช้จังหวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” คราวนี้ เป็นตัวฟื้นกระแสความกลัวจีน เกลียดจีน ให้หวนคืนกลับมาสู่แวดวงการเมืองอเมริกัน ได้อย่างเป็นเรื่อง เป็นราว และเป็นเนื้อ เป็นหนัง มิใช่น้อย จนทำให้สื่อทางการของจีนอย่าง “Global Times” อดไม่ได้ที่ต้องหยิบเอาไปเขียน ไปตั้งข้อสังเกต และอธิบายออกมาเป็นข้อเขียน บทความ เมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคม โดยตั้งชื่อเอาไว้ว่า “Rise of US White supremacy portends new cold war or worse” หรือการผงาดขึ้นมาของพวกคลั่งความสูงส่งของคนขาวในอเมริกา คือลางบอกเหตุถึงสงครามเย็นยุคใหม่ หรืออาจนำมาซึ่งฉากสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้น!!!...
คือการสร้างกระแสกลัวจีน เกลียดจีน ในแวดวงการเมืองอเมริกันนั้น...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า เป็นสิ่งที่มีมาแบบต่อเนื่องยาวนานพอสมควร จนอาจถือเป็นส่วนหนึ่งและส่วนสำคัญ ที่ทำให้อดีตนักธุรกิจประเภทเลอะๆ เทอะๆ อย่าง “ทรัมป์บ้า” สามารถผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำอเมริกา หรือประธานาธิบดีอเมริกันกันจนได้ หรือทำให้การตั้งตัวเป็น “ศัตรู” กับจีนมาตั้งแต่แรก กลายเป็นตัวสร้างคะแนนเสียง คะแนนนิยม ให้กับการช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกัน ได้เป็นจำนวนไม่น้อย อาจด้วยเหตุเพราะความเป็น “ลัทธิจักรวรรดินิยม” ของอเมริกามาตั้งแต่อ้อนแต่ออก เลยทำให้การแสวงหาผู้หนึ่ง ผู้ใด หรือประเทศหนึ่ง ประเทศใด ขึ้นมาเป็น “ศัตรู” ของอเมริกา จึงมีลักษณะไม่ต่างไปจาก “แนวคิด” หรือ “ทฤษฎี” ชนิดหนึ่งไปแล้วก็ว่าได้ และด้วยแนวคิด หรือทฤษฎีทำนองนี้นี่เอง ที่ทำให้พวกขวาสุดโต่ง หรือพวกที่เชื่อว่า “คนผิวขาวคือผู้สูงส่งที่สุดในโลก” (White supremacy) อย่าง “นายสตีฟ แบนนอน” เลยคว้ามาใช้เป็นเครื่องมือในการปลุกกระแสเกลียดจีน กลัวจีน รวมทั้งช่วยให้เกิดการหล่อหลอมความเป็นเอกภาพของชาวอเมริกันของประเทศอเมริกา เพื่อหวังให้อเมริกากลับมา “Great again” ให้จงได้...
แม้ว่าแนวคิดทฤษฎีที่ว่า...มันออกจะไม่สอดคล้องกับโลกยุคใหม่ สมัยใหม่ หรือโลกในยุคโลกาภิวัตน์มากมายสักเท่าไหร่นัก แต่ภายใต้สภาวะ “วิกฤต” โดยเฉพาะวิกฤตภายในประเทศอเมริกาเอง อันเนื่องมาจากปัญหาอยู่นั่นเอง นั่นคือต้องหันไปสร้าง “ศัตรูภายนอก” ให้น่าเกลียด น่ากลัวเข้าไว้ และศัตรูรายนั้น...คงไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าคุณพี่จีน ที่กำลังมาแรงแซงโค้ง กำลังหายใจรดต้นคออเมริกา ในแทบทุกเรื่อง ทุกราวนั่นเศรษฐกิจ การเมือง สังคม แบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับบรรดาประเทศจักรวรรดินิยมเมื่อครั้งอดีต ซึ่งได้ล่มสลายไปแล้วทั้งหลาย แนวคิดและทฤษฎีที่ว่า...จึงมีลักษณะแทบไม่ต่างไปจาก “ทางออกสุดท้าย” เท่าที่เหลือเอง...
และยิ่ง “วิกฤต” ภายในประเทศ...ทวีความหนักหน่วงรุนแรงยิ่งขึ้นเท่าไหร่ “ทางออกสุดท้าย” ที่ว่านี้ ยิ่งมีความเป็นจริง เป็นจัง หรือมีความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น อย่างที่นักวิเคราะห์ นักพยากรณ์เศรษฐกิจชาวอเมริกันเอง “นายเจอรัลด์ เซเลนเต” (Gerald Celente) เจ้าของนิตยสาร “Trends Journal” อันโด่งดังระดับโลก และผู้ก่อตั้งสถาบัน “Trends Research Institute” ผู้เคยทำนายถึงการล่มสลายของสหภาพโซเวียต แบบชนิดแม่นยำราวตาเห็น ได้คาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่เมื่อเกือบสิบปีที่แล้วถึง “ทางออกสุดท้าย” ของมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา ประมาณว่า “ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ จะทำให้รัฐบาลอเมริกัน ยิ่งหุนหันพลันแล่นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อฟองสบู่ของเศรษฐกิจอเมริกาต้องแตกออกมาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ รัฐบาลอเมริกันจะยิ่งพยายามแก้ไขความผิดพลาดล้มเหลวอย่างมหันต์ ด้วยความผิดพลาดล้มเหลวอย่างอภิมหามหันต์ จนเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างผิดพลาด และล้มเหลวโดยสิ้นเชิง...ถึงจังหวะนั้น รัฐบาลอเมริกันก็จะนำพาประเทศชาติไปสู่ทางออกสุดท้าย นั่นคือ...การเข้าสู่สงครามในท้ายที่สุด!!!”
อาการ “บ้า...ไปแล้ว” หรืออาการฟาดงวง ฟาดงา ใส่ใครต่อใครของผู้นำอเมริกันในช่วงนี้ จึงต้องหยิบมาใคร่ครวญพิจารณากันโดยละเอียด ว่าจะบ้ากันไปถึงขั้นไหน แบบไหน ควรหาทางโซเชียล ดิสแทนซิ่ง ฟิซซิเคิล ดิสแทนซิ่ง หรือควรจะ “กะระยะห่าง” กันขนาดไหน อย่างไร ถึงพอปลอดภัยจากการแพร่เชื้อ ติดเชื้อได้มั่ง เพราะอย่างที่อดีตนักการเมือง นักการทหารชาวกรีก ยุคโบร่ำโบราณที่เรียกๆ กันว่า “ไลเคอร์กัส แห่งสปาร์ตา” (Lycurgus of Sparta) ได้เคยพูดๆ เอาไว้เป็นวาทะนั่นแหละว่า... “Close alliances with despots are never safe for the free states.” หรือ “การเป็นพันธมิตรโดยใกล้ชิดกับรัฐที่วางอำนาจกดขี่ ไม่เคยเป็นความปลอดภัยสำหรับเสรีรัฐทั้งหลาย...”