ปิดฉากสัปดาห์นี้...ด้วยเรื่องที่จะเบา จะหนักก็ขึ้นมาอยู่กับ “มุมมอง” ของใครต่อใคร ที่คงต้องไปชั่งน้ำหนักกันเอง คือเรื่องของ “ทองคำแท้ๆ” นั่นแหละทั่น ที่ไม่ว่าใครจะมี ใครจะกำเอาไว้ในมือ แบบชนิดเป็นแท่งๆ หรือแบบชนิดเป็นเส้นๆ ประเภททองเท่าหนวดกุ้งก็ตาม แต่ย่อมมีสิทธิ “หนวดสะดุ้งจนเรือนไหว” ไปได้ด้วยกันทั้งนั้น หรือย่อมมีสิทธิสดชื่น รื่นเริง ปานประดุจได้ขึ้นไปยืนบนเนินเขา อะไรทำนองนั้น...
เพราะขณะที่ “ทองคำสีดำ” หรือ “น้ำมัน” ดันถูกเป็นขี้ หรือยิ่งกว่าขี้ยิ่งกว่าขยะ เอาเลยถึงขั้นนั้น คือไม่ใช่แค่ระดับสามารถหาซื้อมาได้แบบฟรีๆ ยังแถมได้เงิน ได้ค่าจ้าง วานให้ขนไปเก็บถึง 30-40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเอาเลยด้วยซ้ำ สำหรับน้ำมันที่ซื้อ-ขายล่วงหน้าในตลาดสหรัฐฯ หรือ “WTI” ซึ่งมีกำหนดจะส่งมอบกันในเดือนพฤษภาฯ ดังที่ได้เล่าสู่กันฟังไปแล้วเมื่อวันวาน และแม้แต่ราคาน้ำมันที่จะส่งมอบกันในเดือนมิถุนาฯ ก็ไม่ได้กระเตื้องขึ้นมากี่มาก-น้อย ยังซื้อๆ-ขายๆ กันอยู่ที่ประมาณ 10 ดอลลาร์กว่าๆ ต่อบาร์เรล และไม่ใช่แค่เฉพาะในตลาดน้ำมันสหรัฐฯ เท่านั้น กระทั่งตลาดน้ำมัน Bench mark Brent ในยุโรปเมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา ยังซื้อ-ขายกันอยู่ที่ 18 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเท่านั้นเอง หรือระดับราคาร่วงลงไปถึง 45 เปอร์เซ็นต์...
แต่สำหรับ “ทองคำแท้ๆ” นี่สิทั่น...กลับเป็นอะไรที่พุ่งพรวดๆ พราดๆ ชนิดแทบหัวไม่ตก หรืออาจแค่ผงกหน้า-ผงกหลังเพราะ “จิตวิทยาการตลาด” กันในบางช่วง บางครั้ง แต่ถ้ามองถึงแนวโน้มที่ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว ปี ค.ศ. 2018 ยังซื้อ-ขายกันอยู่ที่ระดับ 1,465.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่มาถึงปีนี้เขยิบขึ้นไปกว่า 200 ดอลลาร์ หรือ 1,689.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และยิ่งขณะที่ราคา “ทองคำสีดำ” หรือ “น้ำมัน” ดันร่วงลงไปในถังขี้ ราคา “ทองคำแท้ๆ” กลับพุ่งพรวดๆ พราดๆ ขึ้นไปถึง 1,711.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อช่วงวันจันทร์ (20 เม.ย.) ที่ผ่านมา แต่ที่น่าตื่นตะลึงพรึงเพริดยิ่งไปกว่านั้น ก็คือการคาดการณ์ ประมาณการของบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การธนาคาร หรือด้านโลหะมีค่าทั้งหลาย อย่างเช่นนักวิเคราะห์ของ “Bank of America” ที่ออกมาประเมินและคาดคะเนเอาไว้ว่า ในอีกประมาณ 18 เดือนข้างหน้า ราคา “ทองคำแท้ๆ” อาจพุ่งขึ้นไปถึงประมาณ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยเฉพาะถ้าหาก “เงินกระดาษ” หรือเงินที่ไม่ได้มี “ทองคำหนุนหลัง” (Fiat Money) อย่าง “เงินดอลลาร์” เกิดอาการหัวทิ่มบ่อ หรือร่วงลงในถังขี้ ตามราคาน้ำมันไปด้วย!!!
คืออาจเป็นเพราะการทรุดต่ำ ทรุดตัวของ “ราคาน้ำมัน” มันค่อนข้างเกี่ยวพัน พัวพันกับการเงิน การทอง ในระบบธนาคารอย่างชนิดแทบแยกไม่ออกอยู่พอสมควร อย่างเช่น แนวโน้มการเจ๊ง การล้มละลาย ของบริษัทค้าน้ำมันรายใหญ่ระดับโลกในประเทศสิงคโปร์ หรือบริษัท “Hin Leong Trading” ที่กำลังใกล้พัง หรือพังไปแล้ว ในขณะนี้ อันเนื่องมาจากการ “เก็งกำไร” ที่ผิดพลาด ผิดฝา ผิดตัว จนส่งผลให้หนี้สินเต็มกางเกงปาเข้าไปถึง 3,850 ล้านเหรียญสหรัฐ และส่งผลให้บรรดาธนาคารระดับโลกทั้งหลาย ที่เป็นเจ้าหนี้ บริษัท “Hin Leong Trading” ต้องตามทวงหนี้ เร่งทวงหนี้ กันชนิดดุเดือดเลือดพล่าน ยิ่งกว่า “แก๊งทวงหนี้นอกระบบ” ของบ้านเรา เอาเลยก็ว่าได้ และตราบใดที่ “Hin Leong Trading” ดันหันไปสวมวิญญาณเดียวกันกับนักธุรกิจไทย อย่าง “คุณสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง” คือ... “ไม่มี-ไม่หนี-และไม่จ่าย” ขึ้นมาดื้อๆ โอกาสที่จะส่งผลกระทบไปถึงบรรดาธนาคารต่างๆ ไม่ว่า “HSBC”, “Societe General”, “Standard Chatered”, “Deutche Bank” ไปจนถึง “JP Morgan” ฯลฯแบบเดียวกับครั้งการพังพินาศของ “Lehman Brothers” เอาเลยก็เป็นได้...
เพราะคงไม่ใช่แค่เฉพาะบริษัทค้าน้ำมัน อย่าง “Hin Leong Trading” ที่ใกล้เจ๊ง ใกล้พังอยู่ในทุกวันนี้ บริษัทผลิตน้ำมันเกือบครึ่ง หรือกว่าครึ่งในอเมริกา ที่พยายามขุดหาน้ำมัน “Shale Oil” อย่างชนิดไม่บันยะบันยัง ก็ล้วนแต่ตกอยู่ในอาการ “ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี-หนีไม่พ้น” ไปด้วยกันทั้งสิ้น อันเนื่องมาจากระดับราคาน้ำมันได้ร่วงลงไปต่ำกว่า “ต้นทุนการผลิต” อยู่ที่ประมาณ 40-50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ไม่รู้กี่ต่อกี่ช่วงตัว การเจ๊ง การพังของบริษัทน้ำมัน “Shale Oil” เกือบครึ่งประเทศนี่แหละย่อมส่งผลให้บรรดาธนาคารต่างๆ ที่เคยปล่อยกู้ให้กับบรรดาบริษัทเหล่านี้ หนีไม่พ้นต้องหันมารับประทาน “แฮมเบอร์เกอร์” แบบเดียวกับครั้งที่เกิด “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” หรือวิกฤตการเงิน การธนาคาร หลังการล้มละลายของ “Lehman Brothers” นั่นแล หรืออาจเป็นไปอย่างที่ “นายMax Keiser” พิธีกรรายการวิเคราะห์เศรษฐกิจของโทรทัศน์ “รัสเซีย ทูเดย์” เขาได้ออกมา “ฟันเฟิร์ม” เอาไว้ก่อนล่วงหน้านั่นแหละว่า... “ราคาน้ำมันที่ร่วงลงไปอย่างหนักหนาสาหัส จะกลายเป็นตัวลั่นไกให้เกิดความพังพินาศของระบบการเงิน-การธนาคารตามมา...”
และการพิมพ์เงิน การอัดฉีดเงินดอลลาร์เข้าไปในระบบ แบบครั้งที่เคยพิมพ์เงิน อัดฉีดเงิน นับล้านล้านดอลลาร์ เพื่อเข้าไปอุ้มธนาคารและสถาบันการเงิน เหมือนเมื่อครั้งการล้มละลายของ “Lehman Brothers” หรือครั้งวิกฤตการเงินโลกปี ค.ศ. 2008 ก็คงช่วยอะไรไม่ได้เหมือนก่อนๆ ต่อไปอีกแล้ว ตรงกันข้าม...กลับทำให้ “เงินดอลลาร์” ที่ท่วมโลกไปแล้วในทุกวันนี้ ยิ่งท่วมท้น ล้นเอ่อ หรือยิ่งมีแต่ “เฟ้อ...กับ...เฟ้อ” หนักขึ้นไปใหญ่ หรืออย่างที่นักวิเคราะห์ด้านการเงินของ “Bank of America” เขาว่าไว้นั่นแหละว่า...“ด้วยแนวโน้มอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริการวมไปถึงประเทศ G-10 อาจ...ติดลบ...ในระยะยาวไปด้วยกันทั้งสิ้น การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ กลับจะทำให้ภาวะเงินเฟ้อหวนคืนกลับมา ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...” อีกทั้งด้วยเหตุที่สมดุลทางบัญชี ระหว่างปริมาณเงินดอลลาร์กับตัวเลข “GDP” ของอเมริกา มันเสียดุล หรือไม่สมดุลกันมานานแล้ว หรือทำให้การเพิ่มปริมาณเงินดอลลาร์ แทบไม่ต่างอะไรไปจากการเพิ่มตัวเลขหนี้สิน ที่สูงไปกว่าตัวเลข “GDP” อเมริกาไปแล้ว ไม่น้อยกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ และการพิมพ์เงินเพิ่ม อัดฉีดเพิ่มของธนาคารกลางสหรัฐฯ คราวล่าสุด น่าจะทำให้ตัวเลขหนี้สินของอเมริกา สูงไปกว่าตัวเลข “GDP” ไม่น้อยไปกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ ตามข้อวิเคราะห์ของ “Bank of America”...
และนั่นเอง...ที่จะทำให้ “เงินกระดาษ” ซึ่งไม่มี “ทองคำหนุนหลัง” หรือ “Fiat Money” อย่าง “เงินดอลลาร์” ย่อมมีสิทธิกลายสภาพไปในแบบที่ “นายMark Yusko” นักวิเคราะห์การเงินแห่งบริษัท “Morgan Creek Capital” เคยสรุปเอาไว้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั่นแหละว่า “We’ve turn the dollar into toilet paper.” หรือ “เรากำลังเปลี่ยนเงินดอลลาร์ให้กลายเป็น...กระดาษเช็ดก้น” ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า นับจากนี้ ซึ่งถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นไปอย่างที่นักวิเคราะห์การเงินรายนี้ว่าเอาไว้จริงๆ อันนั้นนั่นแหละ ใครก็ตาม...แม้มี “ทองคำแท้ๆ” อยู่แค่ประมาณหนวดกุ้งก็แล้วแต่ ย่อมมีสิทธิ “นอนสะดุ้งจนเรือนไหว” มีสิทธิสดชื่นรื่นเริงเหมือนดอกไม้บานยามเช้า หรือเหมือนอยู่บนเนินเขาได้ไม่ยากส์ส์ส์ เมื่อราคาทองคำสามารถพุ่งทะลุไปถึงระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว...