วันนี้...คงหนีไม่พ้นต้องชวนกันตามไปดูเรื่องราว ข่าวคราวที่ออกจะพิลึกกึกกือ พิกลพิการพิสดารพันลึก มหัศจอรอหันการันยอระดับพอๆ กับเรื่อง “แปลกแต่จริง” ที่มักถูกหยิบมานำเสนอในนิตยสารประเภท “แปลก” หรือ “มหัศจรรย์” อะไรประมาณนั้น คือเรื่องที่การซื้อ-ขายน้ำมันล่วงหน้าในตลาดน้ำมันสหรัฐฯ ที่เรียกกันย่อๆ ว่า “WTI” (West Texas Intermediate) เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา สำหรับน้ำมันซึ่งมีกำหนดต้องส่งมอบช่วงเดือนพฤษภาคมที่จะถึง ปรากฏว่าซื้อไป-ขายมา...อีท่าไหนมิทราบได้ ทำให้ระดับราคาน้ำมันที่เคยซื้อๆ-ขายๆ กันในระดับประมาณ 20 กว่าดอลลาร์ต่อบาร์เรล ดันลดต่ำลงไปกว่า “ศูนย์” หรือต่ำกว่าได้ฟรีๆ ต่ำลงไปในระดับติดลบ หรือ -37.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
คือเป็นระดับราคาอย่างที่ “นายMax Keiser” พิธีกรรายการวิเคราะห์เศรษฐกิจ ของโทรทัศน์ “รัสเซีย ทูเดย์” ออกมาให้ความหมาย คำจำกัดความไว้แบบสั้นๆ ง่ายๆ แต่ตรงไป-ตรงมาแบบแทงทะลุลึกซึ้งไปถึงดาก นั่นก็คือ... “ราคาของการจ้างวานให้ใครก็ได้ช่วยมาขนน้ำมันของผมไปเก็บเอาไว้ที” เพราะตามสัญญาการซื้อ-ขายน้ำมันในล็อตนี้ ผู้ซื้อ-ผู้ขายจะต้องส่งมอบปริมาณน้ำมันที่ซื้อๆ-ขายๆ บนกระดาษกันในเดือนพฤษภาคมที่จะถึง ดังนั้น...ใครก็ตามที่ซื้อน้ำมันในราคาซึ่งถูกซะยิ่งกว่าขี้ กว่าขยะ คือซื้อแล้วยังได้รับเงินแถมไปอีกถึง 37.63 ดอลลาร์ด้วยต่างหาก ย่อมไม่ต่างไปจากผู้ที่ต้อง “แบกรับภาระ” ในการขนน้ำมัน หรือขนขยะดังกล่าวไปเก็บไว้ ณ ที่ไหนต่อที่ไหนกันเอาเอง...
อันนี้...เลยต้องถือเป็น “ครั้งแรกในประวัติศาสตร์” เป็นความพิลึกกึกกือ พิกลพิการอย่างที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาเลยก่อนหน้านี้ สำหรับสินค้าอย่าง “น้ำมัน” ซึ่งเคยถูกเปรียบเปรย ถูกอุปมา-อุปไมย ว่าไม่ต่างไปจาก “ทองคำสีดำ” อะไรประมาณนั้น แต่ไปๆ-มาๆ ทองที่ว่าดันกลายเป็นขี้ เป็นขยะ ชนิดต้องแถมเงินเพื่อให้ขนไปเก็บกันเอาเอง อันถือเป็น “ภาระ” ที่ออกจะหนักหน่วงอยู่พอสมควร เนื่องจาก “ปริมาณน้ำมัน” ที่ถูกเก็บๆ กันอยู่ในคลังต่างๆ ของประเทศอเมริกาทั่วทั้งประเทศช่วงนี้ ล้วนแล้วแต่ล้นเอ่อ ระดับแทบจะท่วมคอหลอยย์ย์ย์ไปแล้วด้วยกันทั้งสิ้น...
แม้แต่ “คลังน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์” หรือที่เรียกๆ กันว่า “The Strategic Petroleum Reserve” ของสหรัฐฯ ที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาในปี ค.ศ. 1973-74 เพื่อสำรองน้ำมันเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน หรือเพื่อเก็บกักเอาไว้ในทางยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงและพลังงาน อันมีที่ตั้งอยู่แถวๆ รัฐเท็กซัสและหลุยส์เซียนา ขีดความสามารถในการกักเก็บเท่าที่มีอยู่ประมาณ 797 ล้านบาร์เรล ก็ต้องเรียกว่า...ล้นแทบถึงลูกกระเดือกไปแล้วในทุกวันนี้ คือมีปริมาณน้ำมันสำรองท่วมท้นอยู่ในคลังสำรองถึง 635 ล้านบาร์เรล ดังนั้น...แม้ว่าผู้นำอเมริกันอย่าง “ทรัมป์บ้า” จะออกมาป่าวประกาศในช่วงวันจันทร์ หรือช่วงที่ได้รับรู้ รับทราบถึงความวิปริตผิดเพี้ยน ความพิกลพิการของตลาดน้ำมันสหรัฐฯ อย่างชนิดเต็มรูหู ว่าคิดจะซื้อน้ำมันเก็บเข้าไว้ในคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ เพิ่มขึ้นไปอีก 75 ล้านบาร์เรล หรือตามคำพูดที่ว่า “นี่คือช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่เอามากๆ ในการซื้อน้ำมันเก็บไว้ และเราหวังว่าสภาฯ จะอนุมัติในเรื่องนี้” แต่คำประกาศดังกล่าว คงไม่ได้ช่วยให้อะไรดีเด่ หรือเป็น “ปกติ” ขึ้นมามากมาย แม้จะทำให้ราคาซื้อ-ขายน้ำมันล่วงหน้า ช่วงวันอังคาร (21 เม.ย.) พอได้เด้ง ได้ฟื้นคืนกลับขึ้นมามั่ง แต่ก็ยังอยู่แค่ในระดับ 1.67 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหรือยังแพงกว่าขี้ กว่าขยะ แค่ไม่กี่เซนต์ กี่ดอลลาร์ เท่านั้นเอง...
คือ “ปัญหา” มันอยู่ที่ว่า...ซื้อไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะหาที่เก็บไว้ตรงไหน อย่างไร นั่นแหละเป็นด้านหลัก ด้วยเหตุเพราะปริมาณน้ำมันที่ผลิตๆ กันในระดับทั่วทั้งโลก มันออกจะเป็นอะไรที่ “ท่วมโลก” ไปแล้วในทุกวันนี้ แม้จะมีการประกาศลดปริมาณการผลิตของประเทศผู้ผลิตน้ำมันอย่างโอเปกและรัสเซียไปประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 9.7 ล้าน เกือบๆ 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่ด้วยเหตุที่โลกทั้งโลกดันถูกเชื้อไวรัส “COVID-19” เล่นงานซะเดี้ยงแล้วเดี้ยงอีก หรือชนิดแทบไม่มีใครคิดจะไปไหนต่อไหนต่อไปอีกแล้ว “อุปสงค์” หรือปริมาณความต้องการบริโภคน้ำมัน จึงลดๆ ลงไปถึง 30 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย การลดปริมาณการผลิตของประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างโอเปกและรัสเซีย นอกจากจะเป็นสิ่งที่ “น้อยไป” และ “ช้าไป” ตามสายตาของผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมันทั้งหลาย แต่ยังทำให้ “ซัปพลาย” หรือ “อุปทาน” น้ำมันที่ล้นเหลือเกินไปกว่าความต้องการ แทบไม่รู้จะเอาไปเก็บไว้ที่ไหนกันดี ดังที่ “นายAndrew Lipow” ประธานบริษัทน้ำมัน “Lipow Oil Association” บอกกับสำนักข่าว “รัสเซีย ทูเดย์” เอาไว้นั่นแหละว่า... “ไม่ใช่แต่เฉพาะคลังน้ำมันในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ทั่วทั้งโลกนั่นแหละต่างก็เต็มหมดแล้ว จนในอีก 6 สัปดาห์ข้างหน้า แทบไม่มีที่จะเก็บ...”
แต่ก็นั่นแหละ...ถึงแม้ “น้ำมัน” กำลังท่วมโลก ล้นโลก หรือล้นเกินกว่าจะหาที่เก็บก็เถอะ แต่อาจด้วยเหตุเพราะ “การเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกัน” กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ความพยายามที่จะทำให้ตัวเลขการว่างงานในอเมริกา ไม่ถึงกับพุ่งติดจรวดชนิดแทบจะพอๆ กับยุค “The Great Depression” ไปแล้ว โดยเฉพาะตำแหน่งงานนับเป็นหมื่นๆ ตำแหน่ง ในแวดวงอุตสาหกรรมน้ำมันสหรัฐฯ และในรัฐที่เป็น “ฐานคะแนนเสียง” รายสำคัญๆ ของ “ทรัมป์บ้า” ผู้นำอเมริกันเลยต้องพยายามหาทางประคับประคองอุตสาหกรรมน้ำมัน ให้สามารเดินหน้า “ผลิตน้ำมัน” ต่อไปในแทบทุกๆวิถีทาง แม้จะเป็นอะไรที่ขัดแย้งกับธรรมชาติ ขัดกับความเป็นไปของ “ตลาด” หรือกระทั่งขัดกับวาสนาขัดอุปนิสัยและสันดานของตัวเอง ที่ต้องเก่งกว่าใคร ต้องใหญ่กว่าใครเขาเพื่อน การทำร้ายทำลายธรรมชาติ ด้วยการส่งเสริมให้เกิดการผลิตน้ำมัน “Shale Oil” จนทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ สูงขึ้นไปถึงวันละ 12.23 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตามตัวเลขสถิติปี ค.ศ. 2019 ของ “The Energy Information Administration” แม้จะทำให้สหรัฐฯ กลายเป็น “ผู้ส่งออก” น้ำมันเป็นครั้งแรก และทำให้ตำแหน่งงานในอุตสาหกรรมชนิดนี้เพิ่มขึ้นมาเป็นหมื่นๆ แสนๆ แต่สุดท้าย...ก็เป็นอะไรที่ขัดกับความเป็นไปของ “ตลาด” และต้องนำไปสู่การขัดกับอุปนิสัย สันดานของตัวเองอีกจนได้...
คือในเมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลก มีแต่ต้องต่ำเตี้ยเรี่ยดินลงไปเรื่อยๆ ต้นทุนการผลิตน้ำมัน “Shale Oil” สหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 40-50 ดอลลาร์ มันจึงต้องอยู่ไม่ได้โดยธรรมชาติของตัวมันเอง หรือธรรมชาติของ “ตลาด” อยู่แล้วแน่ๆ แต่ด้วยความพยายามที่จะทำอะไรแบบฝืนธรรมชาติ ผู้นำอเมริกาเลยต้องยอมเปลี่ยนอุปนิสัยและสันดาน หันไปขอร้อง วิงวอนประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างรัสเซียและซาอุดีอาระเบีย ให้ลดปริมาณการผลิตลงไปประมาณ 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันไม่ให้ต้องหัวทิ่มดินลงไปกว่านี้ พร้อมกับหันไปอัดฉีด ปล่อยกู้ พร้อมพิมพ์เงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นถึง 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อแบ่งมาช่วยบริษัทน้ำมันรายย่อยในอเมริกา ไม่ให้ “ล้มละลาย” หรือให้มีโอกาสได้เดินหน้าผลิตน้ำมันต่อไปได้ แต่เมื่อผลิตออกมาแล้ว...ดันหาที่เก็บไม่ได้ขึ้นมาซะอีก!!! ความพยายามทำอะไรแบบ “ขัดกับธรรมชาติ” หรือ “ขัดกับความสมเหตุสมผล” แม้ถือเป็น “ธรรมชาติของทุนนิยม” ก็เถอะ จึงนำไปสู่ความพิกลพิการ พิสดารพันลึก มหัศจอรอหันการันยอชนิด “แปลกแต่จริง” ดังที่เห็นๆ กันอยู่ หรือไม่เพียงแต่ทำให้ “ทองคำสีดำ” กลายเป็นสิ่งที่ถูกซะยิ่งกว่าขี้ กว่าขยะ แต่ยังกลับเป็นตัวฉุดกระชากลากถูให้ “ตลาดหุ้น” ไม่ว่าจะเป็นดาวโจนส์ต้องร่วงลงไปถึง 600 จุด หรือ 2.44 เปอร์เซ็นต์ เอสแอนด์พี 1.6 เปอร์เซ็นต์ แนสแดก 0.8 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ “ทองคำแท้ๆ” เลยพุ่งพรวดๆ พราดๆ ขึ้นไปถึง 12.40 ดอลลาร์ หรือ 1,711.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ด้วยประการละฉะนี้...แล...