ทั้งโลกยังวุ่นอยู่กับการตั้งรับการติดเชื้อโรคระบาดโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ช่วงนี้ไม่มีอะไรสำคัญกว่าความพยายามของมนุษย์ที่พยายามจะเอาชนะศัตรูที่มองไม่เห็น ซึ่งได้พิสูจน์ศักยภาพให้เห็นแล้วว่า ถ้าประมาท ไม่ดูแลตัวเอง มีโอกาสหมดเวลาอยู่ในโลกนี้
ถ้าจะมองโคโรนาไวรัสในเชิงบวก ต้องยอมรับว่าในความร้ายกาจนั้น เชื้อโรคร้ายนี้ได้สร้างคุณูปการให้โลกอย่างมากมาย ทำให้โลกสะอาดน่าอยู่ อากาศน่าหายใจ ถ้าไม่มีเชื้อโรคติดมา เป็นครั้งแรกของมนุษย์ที่ได้หยุดกิจกรรมต่างๆ ทิ้งช่วงให้โลกเยียวยาตนเอง
อากาศในโลกสะอาดกว่าเดิม ขยะในทะเล ควันพิษบนท้องถนนลดน้อยกว่าเดิม การระบาดครั้งนี้มีผู้ติดเชื้อกว่า 2 ล้านคน แต่เสียชีวิตรวมยังไม่ถึง 2 แสนคน ถ้ามองแบบการลงทุน เทียบกับการสละชีวิตมนุษย์ในสงครามโหดร้าย ถือว่าคุ้ม เพราะไร้คนพิการ
ถ้าคิดแบบปลงสัจธรรม ก็บอกว่าเป็นวาระสิ้นอายุขัย ทำบุญมาให้อยู่ได้แค่นี้ ถึงคราวต้องจากไป ฟังดูแล้วโหดร้ายกว่านักการเมืองอเมริกันหรือในยุโรป โดยเฉพาะที่มองว่าผู้ชราไร้ประโยชน์ ป่วยหนักไม่ต้องรักษา เก็บเวชภัณฑ์ไว้ดูแลคนหนุ่มสาวที่ยังควรอยู่
ถือว่าเป็นสังคมที่โหดร้ายมาก เพราะผู้ชราวันนี้คือคนหนุ่มก่อนหน้านี้ เป็นผู้เสียภาษีเงินได้ และทำงานในภาคต่างๆ เพื่อประเทศเช่นกัน มากหรือน้อยตามศักยภาพ
เมื่อมนุษย์ยังเอาชนะไวรัสตัวนี้ไม่ได้ เท่ากับเปิดทางให้โลกได้รักษาเยียวยาตัวเอง และน่าจะเป็นอีกนานหลายเดือน หรืออาจเป็นปี เพราะมนุษย์มักถือดี อวดเก่ง ทั้งๆ ที่เห็นคนตายเป็นเบือ เก็บศพแทบไม่ทันฝังหรือเผา ก็ยังแสดงว่าโอหัง เอาชีวิตเข้าเสี่ยง
ด้วยเหตุผลธรรมดา “เลิกมาตรการปิดล็อก เปิดทางให้เสี่ยงตาย ดีกว่าอยู่รอวันอดตาย” ด้วยเหตุนี้ในหลายรัฐ คนอเมริกันผู้นับถือสิทธิประชาธิปไตยจึงออกมาเดินขบวนเรียกร้องให้ผู้ว่าการรัฐ ยกเลิกหรือผ่อนคลายมาตรการควบคุม ให้คนทำมาหากินต่อไป
ออกมาร้องเย้วๆ อ้างสิทธิเต็มที่ ไม่สวมหน้ากากอนามัย ถ้าป่วยก็เป็นภาระให้ต้องดูแลรักษาท่ามกลางการขาดแคลนทุกอย่าง ความเป็นชาติมหาอำนาจหมดท่ากันคราวนี้
ดูแล้วก็น่าเห็นใจ ไม่กลัวตายเพราะเชื้อโรค แต่กลัวอดตาย! ก่อนหน้านี้ฝรั่งอเมริกันและยุโรป ไม่ใส่ใจเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย ทำให้ตายเป็นเบือ และยังไม่เลิก ประเทศที่ผ่อนปรน เช่น สเปน และอิตาลี กลับมาติดเชื้อ ยอดคนตายรายวันเพิ่มขึ้นอีก
ประเทศเสรีภาพสุดโต่งเช่นสวีเดน กำลังได้รับบทเรียนราคาแพงจากการใช้ชีวิตไร้การควบคุม ไม่สวมหน้ากาก ต้องติดเชื้อวันละครึ่งพัน ตายวันละร้อยกว่า แต่ยังดื้อสู้อยู่
อังกฤษซึ่งท้าทายไวรัสเช่นเดียว มียอดคนตายวันละเกือบพัน ติดเชื้อกว่า 4 พันแต่ละวัน เพราะความเชื่อที่ว่า ปล่อยให้ระบาดจนกว่าคนจะมีภูมิคุ้มกันร่วมกัน และยังไม่หวั่นไหว เหมือนกับกลัวเสียหน้าถ้าต้องเปลี่ยนท่าที จึงยอมสู้ทั้งๆ ที่ขาดแคลนทุกอย่าง
ไวรัสตัวนี้สร้างความเสียหายด้านเศรษฐกิจมากกว่าการติดเชื้อและเสียชีวิต บริษัทน้ำมันสหรัฐฯ กำลังมีวิกฤตสาหัส คนไม่ซื้อน้ำมัน ขายได้ไม่หมด ไม่มีที่เก็บ เป็นประวัติศาสตร์แรกในโลกที่ราคาน้ำมันติดลบในการซื้อขายล่วงหน้า เป็นสินค้าไร้ค่า
มีการประเมินว่า ถ้าราคาน้ำมันอยู่ที่ 20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล บริษัทน้ำมันกว่า 500 แห่งในสหรัฐฯ โดยเฉพาะผู้สกัดน้ำมันจากหินดาน “shale” จะต้องเจ๊ง สร้างปัญหาให้ผู้ถือหุ้น นักลงทุน และเจ้าหนี้ ถ้าราคาตกถึง 10 ดอลลาร์ ประมาณ 1.1 พันบริษัทจะเจ๊ง
เมื่อกิจกรรมต่างๆ ในโลกลดลง ความต้องการน้ำมันก็ลด ผลิตมาได้ขายไม่หมด!
ไม่ต้องคิดเลยว่าความหายนะจะเล่นงานเจ้าหนี้ นักลงทุน เป็นภาระกับรัฐบาลแค่ไหน ทุกวันนี้คนอเมริกันกว่า 24 ล้านคนต้องพึ่งสวัสดิการคนว่างงาน ตัวเลขเพิ่มตลอด และสร้างปัญหาความอดอยาก ต้องใช้เวลาหลายปีฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เข้าสู่สภาวะตกต่ำ
นักการเมืองอเมริกันมีทั้งพวกเห็นแก่ตัว และยังพอมีหลักคุณธรรม แต่ยุคนี้ดันมีผู้นำเหมือนเป็นคนบ้าไร้สติ ออกอาการเหมือนหมาบ้าพาลกระแชง หาเรื่องคนดะไปทั่วเพื่อกลบเกลื่อนปกปิดความผิดพลาดของตัวเอง และไม่ยอมรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น
อัยการรัฐมิสซูรีก็สุดโต่ง ยื่นฟ้องรัฐบาลจีนหาว่าปกปิดข้อมูล ไม่โปร่งใส นั่นนี่โน่น ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่า ตั้งแต่เริ่มติดเชื้อคนแรกในสหรัฐฯ ทำไมไม่ใช้ความสามารถทุกด้านจัดการป้องกันการระบาด ทำปล่อยให้ติดเชื้อเกือบ 1 ล้านคน มีคนตายมากกว่า 4 หมื่นคนได้
ความเป็นชาติมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก จะต้องไม่ปล่อยให้เป็นอันดับ 1 ในการไร้ความสามารถในการจัดการการระบาดของไวรัสตัวนี้ ทั้งๆ ที่อ้างว่ามีเทคโนโลยีสุดยอด มีมนุษย์สุดเลิศปัญญาความรู้ กลับให้คนทั้งโลกเห็นว่า ไม่มีหนทางจัดการวิกฤต
ซ้ำร้าย มีคำเตือนจากผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมป้องกันการระบาด หรือ CDC นายโรเบิร์ต เรดฟิลด์ ว่าคนอเมริกันอาจเผชิญภัย 2 เด้ง เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว พร้อมกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่ และโคโรนาไวรัส จะทำให้การตั้งรับศึกโรคระบาด 2 เด้งไม่ไหว
แทบทุกปี ไข้หวัดใหญ่มักระบาดในช่วงอากาศเริ่มเย็น คือกันยายน ในปีที่ผ่านมา คนอเมริกันป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ 35.5 ล้านคน มีคนเสียชีวิต 34,200 คน ยังนับว่าน้อยกว่าบางปีซึ่งมีคนเสียชีวิตร่วม 1 แสนคน แต่ถูกมองว่าเป็นโรคระบาดประจำฤดู
มีวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ก็จริงอยู่ แต่เมื่อเผชิญกับเชื้อกลายพันธุ์ ก็เอาไม่อยู่เช่นกัน และถ้าปีนี้เป็นอย่างคำเตือน ก็จะหนักหนาสาหัส เพราะขาดแคลนเกือบทุกอย่าง
ยิ่งช่วงนี้คนอเมริกันได้รับลูกยุจากผู้นำทำเนียบขาว โดนัลด์ ทรัมป์ ให้ประกาศอิสรภาพปลดปล่อยตัวเองจากการควบคุมโดยผู้ว่าการรัฐ และไม่ป้องกันตัวเอง ตัวเลขคนอเมริกันคงต้องติดเชื้อและตายอย่างไม่หยุด ไวรัสคงรับการท้าทายอย่างเต็มใจ
ทรัมป์และคนอื่นๆ กำลังให้ประเทศจีนเป็นแพะรับบาปว่าเป็นต้นตอการระบาด น่าจะจัดการปัญหาเพื่อชีวิตคนอเมริกันก่อน แต่ไม่ทำ เพราะมุ่งผลประโยชน์ของตัวเอง