วันนี้...คงต้องขออนุญาตแวะไปดูเรื่องน้ำมูก น้ำมัน เขาซะหน่อย ถือเป็นการคั่นบรรยากาศ เปลี่ยนบรรยากาศจากเรื่อง “ไวรัสล้างโลก” หรือเรื่องเชื้อ “COVID-19” ที่กำลังชำระสะสางโลกทั้งโลกอยู่ในช่วงระหว่างนี้ และยังอาจถือเป็นส่วนหนึ่งและส่วนสำคัญ ที่ทำให้ “ราคาน้ำมัน” ออกอาการตกจากหอคอย่น จากที่เคยขายๆ กันระดับบาร์เรลละเป็นร้อยๆ ดอลลาร์ ตกลงมาเหลือแค่ 20-30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเท่านั้นเอง หรือหายไปกว่าครึ่ง กว่าค่อน จนทำให้บรรดาอภิมหาเศรษฐีน้ำมันทั้งหลาย ทำท่าว่าอาจต้อง “เจ๊ง” เอาง่ายๆ...
แต่นอกเหนือไปจากการแพร่ระบาดของเชื้อ “COVID-19” ที่เป็นตัวฉุดกระชากลากดึงให้ “อุปสงค์” หรือความต้องการบริโภคพลังงานของโลกทั้งโลก ต้องต่ำเตี้ยเรี่ยดินลงไปตามสภาพ ก็พอเป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่า ด้วยเหตุเพราะผู้นำกลุ่มประเทศโอเปกอย่างซาอุดีอาระเบีย กับประเทศผู้ผลิตน้ำมันยักษ์ใหญ่อย่างรัสเซียเขานั่นแหละ ที่มีส่วน “ร่วมด้วยช่วยกัน” ในการกระชากราคาน้ำมันให้ไหลทะรูดทะราดลงมาได้ถึงเพียงนี้ หลังจากต่างฝ่ายต่างไม่อาจหาข้อยุติในการประชุมเพื่อร่วมรักษาระดับราคาน้ำมันในตลาดโลก ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา คือแทนที่ต่างฝ่ายต่างจะหาทางปรับลดการผลิตน้ำมันลงมา เพื่อให้ “อุปทาน” มันสอดคล้องกับ “อุปสงค์” กลับหันมา “เกทับ-บลัฟแหลก” พร้อมที่จะผลิตน้ำมันออกสู่ตลาด หรือถล่มตลาดกันชนิดให้เลือดท่วมจอ น้ำมันท่วมจอ แบบชนิด “ไม่กลัวเจ๊ง” ไปด้วยกันทั้งคู่...
แต่ยังไม่ทันที่ซาอุฯ จะเจ๊ง หรือรัสเซียจะเจ๊ง...ผู้ที่ดันต้องเจ๊งให้ระดับหงายท้องตึง แทบหลับกลางอากาศ ก็กลับเป็นคุณพ่ออเมริกาของเรา...ผู้นี้นี่เอง!!! ด้วยเหตุเพราะอุตสาหกรรมน้ำมัน “เชลล์ ออยล์” หรือการขุดเจาะ หรือ “แซะ” น้ำมันจากชั้นหินดินดาน อันเป็นตัวทำให้ผู้ที่เคยได้ชื่อว่าบริโภคน้ำมันสูงสุดในโลกมาก่อนหน้านี้ หรือก่อนหน้าที่ประเทศจีนจะแซงหน้าคว้าตำแหน่งนี้ไปครอง อย่างประเทศอเมริกา แทบไม่ต้องพึ่งพาการ “นำเข้า” น้ำมันจากประเทศอื่นๆ อีกเลย แถมเผลอๆ...บางช่วงบางระยะ สามารถหันมา “ส่งออก” น้ำมันไปยังประเทศอื่นๆ ได้อีก เนื่องจากผลผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดานที่ว่านี้ แม้จะเป็นตัวทำลายสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์อย่างมากมายมหาศาลเพียงใดก็ตามที รวมทั้งอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิด “แผ่นดินไหว” ตามมาอีกด้วย แต่ด้วยความชอบเงิน ชอบทอง ตามแบบฉบับ “อเมริกัน ดรีม” การผลิตน้ำมัน “เชลล์ ออยล์” ของอเมริกา จึงเป็นไปในแบบไม่คิดบันยะบันยังเอาเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะตราบใดที่ระดับราคาน้ำมันในตลาดโลก ยังคงสูงกว่า “ต้นทุนการผลิต” ที่ว่ากันว่า...อยู่ที่ประมาณ 50-60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็นอย่างน้อย...
ดังนั้น...เมื่อซาอุฯ ไม่กลัวเจ๊ง และรัสเซียก็ไม่กลัวเจ๊ง ผู้ที่ต้องเจ๊งก่อนใครเพื่อน ก็คืออุตสาหกรรมน้ำมัน “เชลล์ ออยล์” ของอเมริกาเขานั่นเอง ที่ไม่อาจทนสู้กับต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าระดับราคาตลาดไปไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า เกิดการล้มละลายระเนนระนาดโดยที่การอุดหนุนอัดฉีดของรัฐบาลแทบไม่ได้ช่วยอะไรให้ดูดีขึ้นมาได้เลย เพราะมันเป็นเรื่องของ “ตลาด” ไม่ใช่เรื่องการอัดเงิน ใส่เงิน เข้าไปสักกี่มากน้อย มีแต่หนทางเดียวเท่านั้น ที่อาจช่วยให้บรรดาอุตสาหกรรมน้ำมันในอเมริกา มีโอกาสเงยหน้าอ้าปากขึ้นมาได้มั่ง นั่นก็คือหนีไม่พ้นต้องหันไป “ซบตีน” ซาอุฯ และรัสเซีย หรือหันไปขอให้ประเทศผู้ผลิตน้ำมันยักษ์ใหญ่ทั้งสองราย ช่วยรักษาระดับราคาน้ำมันในตลาด ด้วยการ “ลดกำลังการผลิต” ลงมาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และนั่นเอง...ที่เป็นสาเหตุให้ “ประมุขโรค” อย่าง “ทรัมป์บ้า” จำต้องหันไปขอร้อง วิงวอน ผู้ที่ถูกถือเป็น “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” แห่งรัสเซีย รวมทั้ง “กษัตริย์ซัลมาน” แห่งซาอุดีอาระเบีย จนนำไปสู่การบรรลุข้อตกลงของกลุ่มประเทศโอเปกพลัสและรัสเซีย ว่าจะปรับลดการผลิตน้ำมันลงไปวันละประมาณ 9.7 ล้านบาร์เรล หรือประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตน้ำมันทั้งโลก เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (12 เม.ย.) ที่ผ่านมา อันทำให้ผู้นำอเมริกันถึงกับต้องออกมา “ทวีต” เอาไว้ว่า... “ข้อตกลงน้ำมันที่ยิ่งใหญ่กับโอเปกพลัสและรัสเซีย สำเร็จลุล่วงลงไปเรียบร้อยแล้ว และมันจะเป็นตัวช่วยปกป้องตำแหน่งงานหลายต่อหลายแสนตำแหน่งในอุตสาหกรรมน้ำมันของเรา...”
ส่วนการหันไป “ซบตีน” มหาอำนาจคู่แข่ง อย่างรัสเซียคราวนี้...จะต้อง “แลก” มาด้วยอะไรบ้าง อันนี้คงต้องคอยติดตามกันต่อไปแต่สำหรับประเทศพันธมิตรของอเมริกาอย่างซาอุดีอาระเบียนั้น สิ่งที่ประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกาแสดงให้เห็น ตลอดช่วงระยะที่ราคาน้ำมันกำลังปักหัวดิ่ง แทบไม่ได้มีอาการจ๊ะๆ จ๋าๆ ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แต่หนักไปทางการ “ขู่แล้ว-ขู่อีก” อาจด้วยเหตุเพราะความเป็น “พันธมิตร” ในทัศนะของอเมริกานั้น ดูจะมีค่าไม่ต่างอะไรไปจาก “บริวาร” ซะมากกว่า ด้วยเหตุนี้บรรดานักการเมืองอเมริกัน โดยเฉพาะในรัฐที่เต็มไปด้วยอุตสาหกรรมน้ำมัน “เชลล์ ออยล์” อย่างเช่น “นายKevin Cramer” วุฒิสมาชิกรีพับลิกันแห่งรัฐนอร์ท ดาโกตา “นายDan Sullivan” วุฒิสมาชิกรีพับลิกันแห่งรัฐอะแลสกา รวมไปถึง “นายTed Cruz” วุฒิสมาชิกรีพับลิกันแห่งรัฐเท็กซัส ฯลฯ จึงดาหน้าออกมาฟาดงวง ฟาดงา ทั้งด่า ทั้งขู่ ประเทศซาอุดีอาระเบียชนิดแทบไม่หลงเหลือความเป็นมิตรใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย หรือถึงขั้นเคยคิดจะเสนอกฎหมาย เมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจถอนทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ออกจากราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียให้รู้แล้ว รู้แรด กันไปเลย หรือให้สมกับคำกล่าวของประธานาธิบดีอเมริกัน ที่เคยดูหมิ่น ดูแคลน ราชอาณาจักรแห่งนี้ไว้ก่อนหน้านี้ประมาณว่า ถ้าหากอเมริกาไม่ช่วยปกป้อง คุ้มครอง ราชวงศ์ “อัล-ซาอุด” อาจพังพินาศไม่เกินไม่กี่สัปดาห์เท่านั้นเอง อะไรทำนองนั้น...
สำหรับ “นายKevin Cramer” ถึงกับระบายอารมณ์ออกมาว่า “ซาอุฯ ใช้เวลานับเดือนในการทำสงครามราคาน้ำมัน ขณะที่ทหารของเราปกป้องพวกเขาอยู่ ซึ่งนี่ไม่ใช่การกระทำที่เพื่อนจะกระทำต่อเพื่อน โดยการกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ให้อภัยไม่ได้ และเป็นสิ่งที่เราไม่มีวันลืม” เช่นเดียวกับ “นายDan Sullivan” ในฐานะคณะกรรมาธิการทหาร ที่ออกมาชี้ให้เห็นว่า... “การตัดสินใจเพิ่มการผลิตน้ำมันไปถึงวันละ 12 ล้านบาร์เรลของซาอุฯ เป็นตัวทำให้ตลาดน้ำมันยิ่งทรุดลงไปอีก และเมื่อเสริมด้วยการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 จึงทำให้คนงานในอุตสาหกรรมน้ำมันสหรัฐฯ ถูกเลิกจ้างไปแล้วนับหมื่นๆ คน...” ส่วน “นายTed Cruz” ที่ออกจะสุดสวิงริงโก้ หรือจัดอยู่ในประเภท “สุดโต่ง” มาโดยตลอด ในแทบทุกเรื่อง ทุกราว ถึงกับออกมา “ขู่” ประเทศซาอุฯ แบบตรงไป-ตรงมา เอาเลยว่า... “ถ้าหากคุณยังมีพฤติกรรมไม่ต่างอะไรไปจากศัตรูของเรา เราก็จะปฏิบัติกับคุณในฐานะศัตรูเช่นกัน...” ดังที่หนังสือพิมพ์ “Dallas Morning News” ได้รายงานไว้แบบคำต่อคำ เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา...
ด้วยเหตุนี้...แม้ว่าประเทศกลุ่มโอเปกพลัสและรัสเซีย จะบรรลุข้อตกลงในการลดการผลิตน้ำมันลงมาถึงวันละเกือบ 10 ล้านบาร์เรล หรือถือเป็นการลดการผลิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์เท่าที่เคยมีมา หรืออาจลดไปถึง 20 ล้านบาร์เรลต่อวัน อย่างที่ประธานาธิบดีอเมริกันออกมาตั้งความหวังเอาไว้ก็ตาม แต่ยังไงๆ...โอกาสที่ “สัมพันธภาพ” ระหว่างอเมริกากับประเทศพันธมิตรอย่างซาอุฯ คงไม่อาจสดใส ซาบซ่า เหมือนเดิมๆ ได้อีกต่อไป เพราะการเป็น “มิตร” กับอเมริกา มันแทบไม่ต่างอะไรไปจากการเป็น “บริวาร” นั่นเอง ทั้งๆ ที่ในอดีตที่ผ่านมา หรือเมื่อช่วงประมาณปี ค.ศ. 2000 อดีตเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำซาอุดีอาระเบีย อย่าง “นายCharles W. Freeman” เคยตั้งข้อสังเกตถึงสัมพันธภาพระหว่างรัฐบาลอเมริกันและซาอุฯ ไว้อย่างน่าคิด น่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า... “สิ่งสำคัญที่ประเทศซาอุฯ ได้สร้างเอาไว้อย่างชนิดจดจารึกเป็นประวัติศาสตร์ ก็คือการยืนหยัด ยืนกราน ที่จะซื้อ-ขายน้ำมันของพวกเขาด้วยเงินดอลลาร์อเมริกัน เพราะฉะนั้น...รัฐบาลของเราจึงสามารถพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาซื้อน้ำมันได้เรื่อยๆ โดยอาศัยความได้เปรียบที่ประเทศอื่นไม่ได้มีเหมือนเรา แต่ด้วยการปรากฏตัวขึ้นมาของเงินสกุลอื่นๆ และด้วยสัมพันธภาพอันตึงเครียดระหว่างเรากับประเทศนี้ ที่ทำท่าว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ...ผมกังวลว่า ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า พวกเขาอาจไม่คิดทำสิ่งเหล่านี้ต่อไป โดยเฉพาะเมื่อประชาชนชาวซาอุฯ ต่างร้องถามขึ้นมาว่า...ทำไมเราต้องใจดีกับพวกอเมริกันถึงขนาดนั้น!!!” อันนี้...ก็เลยเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ที่ต้องติดตามต่อไป แบบมิอาจ “กะพริบตา” ได้เป็นอันขาด...