ท่ามกลางสภาวะที่เชื้อโคโรนาไวรัส ท่านยังคงออกฤทธิ์ ออกเดช อย่างชนิดไม่หยุด ไม่หย่อน...เปิดฉากสัปดาห์นี้แทนที่เสียเวลา “ตามไปดู” ว่าประเทศ “จ้าวโลก” อย่างคุณพ่ออเมริกา ซึ่งผงาดขึ้นมาคว้าตำแหน่ง “จ้าวโรค” ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ตาย เพราะเชื้อ “COVID-19” ว่าจะไปถึงไหนต่อถึงไหนกันบ้างแล้ว คงต้องขออนุญาตชวนให้หันไปดูประเทศเล็กๆ ที่สุดจน แสนจนกันแทนที่ แถมยังต้องเจอกับโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น จากภาวะ “สงคราม” ต่อเนื่องยาวนานมาเกือบ 4 ปี 5 ปี นั่นคือประเทศ “เยเมน” นั่นเอง...
ด้วยเหตุเพราะเชื้อไวรัส “COVID-19” ที่ว่า...ท่านคงไม่สนใจว่าใครรวย ใครจน ใครเผด็จการ ใครประชาธิปไตย หรือแม้กระทั่งใครดี ใครชั่ว เอาเลยก็ว่าได้ ประเทศเล็กๆที่สุดแสนอเนจอนาถน่าเวทนา อย่างประเทศเยเมน จึงมีอันต้องเจอกับผู้ติดเชื้อ “COVID-19” เป็นรายแรก บริเวณพื้นที่จังหวัด “Hadhramout” ด้านใต้สุดของประเทศที่ติดกับอ่าวอาหรับ ตามการเปิดเผยขององค์กร “WHO” และองค์กร “Save the Children” เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแม้ว่าช่วงขณะที่ยังไม่ได้เจอกับเชื้อ “COVID-19” ประเทศเล็กๆ ประเทศนี้ ก็แทบ “เลี้ยงไม่โต” อยู่แล้ว คือออกอาการตายแหล่มิตายแหล่ ด้วยโรคระบาดชนิดต่างๆ มาโดยตลอด ไม่ว่าโรคคอตีบ อหิวาต์ ไข้เลือดออก ไข้หวัดนก มาลาเรีย ฯลฯ ซึ่งแม้เป็นโรคระบาดที่ต่างมีตัวยารักษาไปด้วยกันทั้งสิ้น แต่ด้วยเหตุเพราะ “สงคราม” นั่นแล ด้วยการ “ปิดล้อม” ของกองทัพซาอุฯ และพันธมิตร ที่ได้รับการสนับสนุนจากคุณพ่ออเมริกาและอังกฤษ โดยไม่ได้ปิดแบบไม่ให้ใครเข้า-ใครออก แบบปิดเมืองอู่ฮั่นของคุณพี่จีนแต่อย่างใด แต่ปิดแบบไม่ยอมให้ใครส่งข้าว ปลา อาหาร ส่งน้ำ ส่งยา ฯลฯ เข้าไปช่วยเหลือเฟือฟายแม้แต่ผู้บริสุทธิ์ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ อย่างบรรดาประชาชนชาวเยเมนทั้งหลาย จนเกิดการล้มตายไปเป็นหมื่นๆ แสนๆ หรืออาจปาไปเป็นล้านๆไปแล้ว ก็เป็นได้..
หรือพูดง่ายๆ ว่า...แม้ยังไม่ต้องเจอกับเชื้อ “COVID-19” แต่ชะตากรรมของบรรดาชาวเยเมนทั้งหลาย ได้ก่อให้เกิดภาพแห่ง “โศกนาฏกรรมของมวลมนุษยชาติ” ที่ร้ายกาจ รุนแรง และหนักหน่วงที่สุดนับจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ดังที่องค์กรเอกชน และหน่วยงานของสหประชาชาติ ได้ให้คำนิยามไปก่อนหน้านี้ แต่ยิ่งเมื่อต้องเจอกับเชื้อ “COVID-19” เข้าไปอีกดอก ถ้าว่ากันตามคำพูดของหัวหน่วยสาธารณสุขและประชากรประจำกรุงซานา เมืองหลวงของเยเมน อย่าง “Dr.Taha al-Mutwakel” โอกาสที่ประชากรชาวเยเมน ซึ่งมีจำนวนประมาณ 20 เกือบ 30 ล้าน และได้ตายไปแล้วกี่หมื่น กี่แสน หรือกี่ล้านเพราะพิษภัยสงครามก็แล้วแต่ อาจต้องตายไปอีกประมาณ 500,000 รายเป็นอย่างน้อย เพราะเชื้อ “COVID-19” คราวนี้ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
ด้วยเหตุเพราะประเทศเล็กๆ จนๆ แถมยังถูกปิดล้อม ถูกสกัดกั้นความช่วยเหลือแทบทุกทิศ ทุกทาง จนแทบไม่เหลือขีดความสามารถใดๆ ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสตัวนี้ได้เลย ไม่ใช่แค่เฉพาะทั่วทั้งประเทศมีเตียงพยาบาลเอาไว้รองรับผู้ป่วยจากโรคภัยต่างๆ เพียงแค่ 1,000 เตียง มีเครื่องช่วยหายใจติดประเทศอยู่เพียงแค่ 400 เครื่องเท่านั้น แต่กระทั่งจะหา “น้ำล้างมือ” มาล้างกันให้ซีดแล้ว ซีดอีก เหมือนบรรดาผู้คนในประเทศต่างๆ ยังหาแทบไม่ได้ เพราะแค่น้ำกิน น้ำดื่มน้ำที่จะเอามาอุปโภคบริโภคที่ใสสะอาดกันจริงๆ ยังหายาก หาเย็น ยิ่งกว่าหาหนวดเต่า เขากระต่าย จนบรรดาชาวเยเมน โดยเฉพาะพวกเด็กๆ ต่างต้องล้มตายเพราะเชื้อโรคระบาดแบบง่ายๆ อย่างเชื้อ “อหิวาตกโรค” ชนิดต้องนับจำนวนคนตายเป็นนาทีต่อนาทีเอาเลยก็ว่าได้ แถมจะโซเชียล ดิสแทนซิ่ง หรือฟิซซิเคิล ดิสแทนซิ่ง ก็น่าจะลำบากยิ่งขึ้นไปอีก เนื่องบรรดาประชากรนับล้านๆ ที่ต้องอพยพหลบหนีจากพื้นที่สงคราม เข้าไปออกันอยู่ในศูนย์ผู้ลี้ภัยในแต่ละแห่ง แต่ละที่ ต่างต้องแออัดยัดเยียด จนไม่อาจรักษา “ระยะห่าง” ใดๆ ได้เลย ต้องอาบน้ำรวมกัน ปรุงอาหารร่วมกัน ใช้เครื่องครัวร่วมกัน ฯลฯ โอกาสที่จะติดเชื้อ จะซูเปอร์ สเปรดเดอร์ กันไปเป็นค่ายๆ ยิ่งกว่าเวทีมวยสวนลุมฯ หรือราชดำเนิน บ้านเรา ย่อมเป็นไปได้อยู่แล้วแน่ๆ...
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...องค์กรสหประชาชาติ และ “WHO” เขาเลยต้องหันไปโน้มน้าว เกลี้ยกล่อม ขอร้องและวิงวอนผู้ที่เริ่มต้นก่อสงครามอย่างราชอาณาจักรซาอุฯ ให้หาทางเพลาๆ หรือให้เว้นจังหวะ เปิดโอกาสให้มีช่วง “หยุดยิง” หรือยุติการสู้รบลงไปชั่วคราว โดยเฉพาะขณะที่การแพร่ระบาดของ “COVID-19” ยังคงมาแรงแซงโค้ง อยู่ในทุกวันนี้ อันทำให้รัฐบาลซาอุฯ ต้องออกมาประกาศ “หยุดยิง” ไปเมื่อช่วงวันพุธ (8 เม.ย.) ที่ผ่านมา แม้ยังไม่ยอมยกเลิกการ “ปิดล้อม” ใดๆ ลงไปโดยเด็ดขาด แต่ก็ยังถือได้ว่า ยังพอมีหัวจิต หัวใจ หรือยังพอหลงเหลือ “ความเป็นมนุษย์มนา” ติดปลายนวมเอาไว้มั่ง...
แต่แม้เพิ่งประกาศหยุดยิง หยุดโจมตีไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น...ช่วงวันพฤหัสฯ (9 เม.ย.) ที่ผ่านมา เครื่องบินของกองทัพอากาศซาอุฯ และพันธมิตร โดยได้รับการชี้แนะ ชี้นำจากที่ปรึกษาทางทหารอเมริกัน ก็แห่เข้าไปทิ้งระเบิดใส่เมือง Sa’ada เมือง Amran เมือง al-Bayda เมือง Hajjah และเมือง Jawf ฯลฯ ในประเทศเยเมน ชนิดพรุนกันไปเป็นแถบๆ แบบเดียวกับครั้งที่เคยประกาศหยุดยิงเมื่อเดือนธันวาคมปี ค.ศ. 2016 แต่พอเริ่มต้นปีใหม่ มกราคม ค.ศ. 2017 ก็หันมาทิ้งระเบิดปูพรม กะจะเผด็จการศึกเยเมนลงไปให้จงได้ อะไรประมาณนั้น และคราวนี้...ไม่ใช่แค่ฉวยจังหวะโจมตีด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยปกติธรรมดาเท่านั้น ว่ากันว่า...การสนับสนุนให้บรรดาแรงงานชาวแอฟริกันที่เข้าไปทำงานในซาอุดีอาระเบีย อย่างบรรดาชาวโซมาเลียและเอธิโอเปีย ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในพื้นที่แหล่งแพร่ระบาดของเชื้อ “COVID-19” จนทำให้ประเทศซาอุฯ ต้องมีจำนวนผู้ติดเชื้อไม่น้อยไปกว่า 2,179 ราย ตายไปแล้ว 29 ราย ให้โยกย้ายไปตั้งหลักปักฐานอยู่ในพื้นที่ที่ใกล้ชิดติดพันกับค่ายผู้อพยพชาวเยเมน อย่างเช่น ในพื้นที่บริเวณหุบเขา Wadi Al-Dhamd อันเป็นพื้นที่เชื่อมต่อดินแดนซาอุฯ กับจังหวัด Al-Raqaw ของเยเมน จึงแทบไม่ต่างอะไรไปจากความจงใจที่จะอาศัยเชื้อ “COVID-19” นี่แหละเป็น “อาวุธชนิดใหม่” เพื่อหาทางเล่นงานผู้ที่ถูกถือเป็นศัตรู อย่างชาวเยเมน ให้ “สูญสิ้นเผ่าพันธุ์” ลงไปให้จงได้!!!...
นี่...ต้องเรียกว่า “ทรงพระเหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์” ซะเหลือเกิน สำหรับบรรดาราชนิกูลแห่งราชวงศ์ “อัล-ซาอุด” ในฐานะผู้ปกครองราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียทุกวันนี้ แต่ไม่ว่าจะทรงพระเหี้ยย์ย์ย์มม์ม์ม์ ในแบบไหน ในลักษณะใดๆ ก็ตาม คงมิอาจเหี้ยมเกินไปกว่าเชื้อไวรัส “COVID-19” มากมายสักเท่าไหร่ เพราะถ้าว่ากันตาม “ข่าวล่า-มาเรือ” ที่หนังสือพิมพ์เดลิเมล์ของอังกฤษ เผยแพร่เป็นข่าวคราวไปเมื่อไม่นานมานี้ ว่ากันว่า...บรรดา “เจ้าชาย” เชื้อพระวงศ์ “อัล-ซาอุด” ในขณะนี้ ได้ตกเป็นเหยื่อเชื้อ “COVID-19” ไปแล้วประมาณ 150 ราย ชนิดเล่นเอา “กษัตริย์ซัลมาน” องค์พระประมุขของประเทศ ต้องไอโซเลต ต้องโซเชียล ดิสแทนซิ่ง และฟิซซิเคิล ดิสแทนซิ่ง กับใครต่อใคร จนแทบไม่เห็นพระพักตร์ เห็นพระเนตรไปแล้วทุกวันนี้ ไม่ต่างอะไรไปจากมกุฎราชกุมารเจ้าชาย “MbS” หรือ “โมฮัมหมัด บิน ซัลมาน” ที่ว่ากันว่า...ต้องหันไป “กักตัวเอง” อยู่แถวๆ ทะเลแดงโน่นเลย จริง-ไม่จริง...ก็คงต้องไปตรวจสอบกันเอาเอง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...แม้ว่าความโหดร้ายของเชื้อ “COVID-19” มันจะหนักหนาสาหัสเพียงใดก็ตาม แต่ก็ยังพอมี “คุณูปการ” ให้เห็นในบางด้าน ไม่ว่าต่อธรรมชาติ หรือสภาวะสิ่งแวดล้อม ต่างไปจากความโหดร้ายระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ด้วยกันเอง ที่แทบไม่เหลือคุณูปการใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย เพราะมีแต่ “ตัวกู-ของกู” เป็นที่ตั้งล้วนๆ…