เอเจนซีส์ - น้ำมันดิบชนิดเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) ซึ่งเป็นมาตรวัดทิศทางราคาน้ำมันสหรัฐฯ ถูกเทขายจนราคาติดลบครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เมื่อวันจันทร์ (20 เม.ย.) เนื่องจากไวรัสโคโรนาที่ทุบดีมานด์ล่มกระทั่งน้ำมันท่วมตลาด และคลังเก็บทำท่าใกล้เต็ม สามารถดีดตัวกลับขึ้นสู่แดนบวกได้ในวันอังคาร (21) กระนั้นนักวิเคราะห์มองว่าแนวโน้มของน้ำมันจะยังตกต่ำลงต่อไป พร้อมชี้ด้วยว่า งานนี้ไม่มีใครได้ประโยชน์แม้แต่ผู้บริโภค เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ทำให้กิจกรรมแทบทุกอย่างหยุดสนิท ไม่ค่อยมีใครนำรถออกมาขับอยู่ดีถึงแม้น้ำมันราคาถูก
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของดับเบิลยูทีไอ หรือเรียกกันว่า ไลต์ สวีต ครูด เพื่อการส่งมอบเดือนพฤษภาคม เปิดตลาดที่นิวยอร์กในวันจันทร์ โดยเคลื่อนไหวอยู่แถวๆ 15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทว่า จากนั้นก็ถูกเทขายหนัก จนลงไปลึกสุดที่ -40.32 ดอลลาร์ และตอนปิดเทรดกระเตื้องขึ้นมาเล็กน้อย อยู่ที่ -37.63 ดอลลาร์ ครั้นถึงช่วงการซื้อขายในตลาดเอเชียวันอังคาร (21) ราคาก็ดีดกลับสู่แดนบวก โดยช่วงบ่าย ซื้อขายกันที่ราคา 1.67 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันของสหรัฐฯหล่นฮวบจนอยู่ในแดนลบอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเช่นนี้ บังเกิดขึ้นขณะสัญญาล่วงหน้าเดือนพฤษภาคมกำลังจะสิ้นสุดช่วงการซื้อขายและต้องชำระบัญชีในวันอังคาร (21) เทรดเดอร์ซึ่งถือสัญญาซื้อขายเอาไว้ จึงพยายามกระหน่ำขายออกมา เนื่องจากหากถือเอาไว้และต้องรับมอบน้ำมันจริง ก็จะต้องแบกรับต้นทุนในการหาคลังจัดเก็บ
ตามข้อกำหนดของสัญญาล่วงหน้าดับเบิลยูทีไอนั้น จะต้องส่งมอบน้ำมันกันที่เมืองคุชชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเครือข่ายท่อส่งน้ำมันของอเมริกา และพวกบริษัทน้ำมันต่างมีแท็งก์จัดเก็บของตัวเองตั้งอยู่ แต่สำนักงานข้อมูลพลังงานของสหรัฐฯรายงานในสัปดาห์ที่แล้วว่า คลังจดเก็บน้ำมันดับเบิลยูทีไอในคุชชิ่ง ใกล้เต็มแล้ว โดยเก็บน้ำมันเอาไว้ถึงประมาณ 72% ณ วันที่ 10 ที่ผ่านมา ในภาวะที่น้ำมันล้นตลาดขายไม่ค่อยออก เพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกแทบหยุดชะงักหมด พวกเทรดเดอร์จึงเห็นกันว่า น้ำมันกำลังกลายเป็นของไร้ค่า ขณะพื้นที่เก็บน้ำมันมีค่าสูงกว่า
อย่างไรก็ดี ราคาที่ลดฮวบของสัญญาเดือนพฤษภาคม ซึ่งเท่ากับว่า ผู้ขายต้องแถมเงินให้ผู้ที่ยอมซื้อนั้น เห็นกันว่า เนื่องมาจากปัจจัยทางเทคนิคที่ใกล้ถึงเวลาชำระบัญชี มากกว่าสะท้อนสภาพที่แท้จริงของตลาด ดังนั้น จุดสนใจตอนนี้จึงย้ายไปที่สัญญาเพื่อการส่งมอบเดือนมิถุนายน ซึ่งมีปริมาณซื้อขายมากกว่า 60 เท่า หนุนให้ราคากระเตื้องขึ้นเกือบ 5% อยู่ที่กว่า 21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในแถบเอเชียวันอังคาร หลังจากก่อนหน้านั้นหนึ่งวันปิดที่ 20.43 ดอลลาร์ในตลาดนิวยอร์ก หรือลดลงถึง 18.4%
ส่วนราคาน้ำมันดิบชนิดเบรนต์ ซึ่งสะท้อนสภาพตลาดน้ำมันระหว่างประเทศมากกว่านั้น สัญญาส่งมอบเดือนมิถุนายนขยับลง 0.16% อยู่ที่ 25.40 ดอลลาร์
แต่แนวโน้มขาลงแบบดำดิ่งยังปรากฏออกมาชัดเจน โดยเมื่อเวลา 13.30 น.จีเอ็มที วันอังคาร (ตรงกับ 20.30 น.เวลาเมืองไทย) ดับเบิลยูทีไอส่งมอบเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ -5.33 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ดับเบิลยูทีไอส่งมอบเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 14.45 ดอลลาร์ ตกลงจากปิดวันจันทร์ 29% ส่วน เบรนต์ ส่งมอบเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ 19.78 ดอลลาร์ ตกลงมา 22.6% และ เบรนต์ ส่งมอบเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 19.70 ดอลลาร์ ต่ำลง 19.80%
สุกฤต วิชยาการ์ นักวิเคราะห์ของไทรเฟกตา ชี้ว่า แม้อุตสาหกรรมน้ำมันเคยชินกับภาวะผันผวนในช่วงวิกฤตไวรัส แต่ราคาที่จมดิ่งสู่แดนลบในวันจันทร์เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันร่วงมาตลอดหลายสัปดาห์สืบเนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ การจำกัดการเดินทาง การปิดธุรกิจหลายประเภท และการขอหรือสั่งให้ประชาชนทำงานจากบ้าน ขณะที่โลกกำลังต่อสู้กับการระบาดของไวรัสโคโรนา ซึ่งส่งผลกระทบอย่างแรงต่อดีมานด์
วิกฤตนี้ยังเลวร้ายลงจากสงครามราคาระหว่างซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย ถึงแม้เมื่อต้นเดือนทั้งคู่ รวมถึงประเทศผู้ผลิตสำคัญอื่นๆ ได้ตกลงลดกำลังผลิตน้ำมันลงเกือบ 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน (บีพีดี) แต่นักวิเคราะห์ระบุว่า ไม่มากพอหนุนราคาให้กระเตื้องขึ้น ขณะที่คลังจัดเก็บน้ำมันกำลังจะเต็ม
เจฟฟรีย์ ฮอลลีย์ นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสของโออันดา คาดว่า แม้ราคาฟื้น แต่ตลาดจะยังคงถูกปกคลุมด้วยความกังวลเกี่ยวกับดีมานด์ซบเซาและภาวะน้ำมันล้นตลาดจนใกล้ไม่มีที่จัดเก็บ ส่งผลให้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มขาลงมากกว่าดีดขึ้น
เควิน ฟลานาแกน หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ตราสารหนี้ของวิสดอมฟรี แอสเส็ต แมเนจเมนต์ในนิวยอร์ก เห็นด้วยว่า แม้ดีมานด์กลับสู่ระดับก่อนวิกฤตโรคระบาด แต่คงต้องใช้เวลาในการระบายน้ำมันที่สต็อกอยู่ในขณะนี้
จิม เบิร์กฮาร์ด รองประธานไอเอชเอส มาร์กิต ทิ้งท้ายว่า ปกติแล้วเวลาที่ราคาน้ำมันดิบทรุด ราคาน้ำมันเบนซินจะตกไปด้วยและส่งผลดีต่อผู้บริโภค แต่การที่ราคาน้ำมันดิบดิ่งลงในขณะนี้มีสาเหตุมาจากคนขับรถน้อยลงมาก ดังนั้น แม้ราคาน้ำมันเบนซินลดลงแต่ไม่มีคนใช้รถ สถานการณ์นี้จึงถือว่า ไม่มีผู้ชนะหรือได้ประโยชน์เลย