xs
xsm
sm
md
lg

ยุทธศาสตร์การทหารกับอาวุธความเร็วเหนือเสียง

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง Hypersonic ของรัสเซีย
ไหนๆ...เปิดฉากสัปดาห์นี้ ด้วยเรื่องราวที่เกี่ยวกับสงคราม การจุดชนวนสงคราม หรือเรื่องที่หนักไปทาง “การทหาร” มาตั้งแต่ต้น วันนี้เลยคงต้องขออนุญาต “ตามน้ำ” ไปว่ากันต่อในเรื่องทำนองนี้ไว้อีกสักนิด เพราะเผอิญเมื่อวัน-สองวัน หรือเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างเดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดตัว “ธงประจำกองทัพอวกาศสหรัฐฯ” ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” เลยถือโอกาสออกมาคุยโม้-คุยโต ถึงเรื่อง “ขีปนาวุธรุ่นล่าสุด” ระดับ “Hypersonic” ของอเมริกา ที่พูดเอง เออเอง ตั้งชื่อไว้ให้ด้วยตัวเอง ว่า “Super Duper Missile” หรือ “สุดยอดจรวด” อะไรประมาณนั้น...

โดยถ้าว่ากันตาม “แมงโม้” ของ “ทรัมป์บ้า” แล้ว...ขีปนาวุธที่ว่าจะมี “ความเร็ว” เหนือเสียงถึงประมาณ 17 เท่า เอาเลยถึงขั้นนั้น โดยเหนือกว่าความเร็วขีปนาวุธของจีน หรือรัสเซีย ที่ตัวเองสรุปว่าเร็วกว่าเสียงแค่ประมาณ 5 เท่า 6 เท่า เท่านั้นเอง แต่ก็นั่นแหละ...ใครเชื่อ-ไม่เชื่อ คงต้องไป “ออกลูกเป็นลิง” กันเอาเอง แต่การฉวยจังหวะออกมาคุยโม้ คุยโต ในช่วงระหว่างนี้ หรือช่วงขณะที่แนวโน้มความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา กับ “มหาอำนาจคู่แข่ง” (Rival Power) อย่างจีนและรัสเซีย ชักหนักหน่วง รุนแรงยิ่งขึ้นทุกที เกิดการอวดกล้าม โชว์กล้าม ของเรือรบอเมริกันในทะเลจีนใต้ ในอ่าวเปอร์เซีย ในทะเลแคริบเบียน ทะเลแบเรนตส์ ฯลฯ ดังที่เล่าสู่กันฟังไปแล้วเมื่อวานนี้ ทำให้การพ่นแมงโม้ในลักษณะดังกล่าว อาจถือเป็นการ “เกทับ-บลัฟแหลก” หรือถือเป็นการ “ส่งสัญญาณทางยุทธศาสตร์” ก็แล้วแต่มุมมองของใคร-ของมัน จะว่ากันไปตามสภาพ...

คือด้วยเหตุเพราะขีปนาวุธแบบที่เรียกว่า “Hypersonic” หรือแบบที่มีความเร็วเหนือเสียงเกินกว่า 5 มัคขึ้นไป ในทัศนะของบรรดานักการทหาร หรือนักยุทธศาสตร์ในช่วงหลังๆ เขาออกจะเห็นพ้องต้องกันไปในแนวเดียวกันว่า อาจถือเป็นตัวกำหนด “สถานะทางยุทธศาสตร์” ของบรรดาประเทศที่พยายามประดิษฐ์คิดค้น หรือพัฒนาอาวุธชนิดนี้ขึ้นมาเอาเลยว่าได้ เพราะโดยศักยภาพและคุณลักษณะต่างๆ อันประกอบไปด้วย “ความเร็ว” “ความแม่นยำ” “ความสามารถในการหลบหลีก” ไปจนถึง “ความสามารถในการเดินทาง” หรือ “พิสัยทำการ” ฯลฯ ของอาวุธดังกล่าว ทำให้บรรดา “ขีปนาวุธข้ามทวีป” (Intercontinental Ballistic Missiles-ICBMS) ทั้งหลาย ที่เคยก่อให้เกิด “ดุลอำนาจทางทหาร” นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 เป็นต้นมา ย่อมเป็นอะไรที่ “เชยซ์ซ์ซ์ซ์” แบบสุดๆ อย่างมิอาจปฏิเสธได้...

เพราะขีปนาวุธข้ามทวีปในยุคก่อนๆ นั้น...กว่าที่มันจะค่อยๆ โค้งลงมาจากอวกาศ หรือค่อยๆ เดินทางข้ามฟ้า ข้ามทวีป มันยังพอเหลือเวลาให้ฝ่ายตรงข้ามตั้งหลัก ตั้งตัว พอที่จะหลบเลี่ยง ป้องกัน และตอบโต้ แบบพอมีเวลาหายใจ หายคอ ได้มั่ง แต่หลังจากช่วงปี ค.ศ. 2003 เป็นต้นมา หรือหลังจากที่รัฐบาลอเมริกันภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดี “จอร์จ ดับเบิลยู. บุช” ได้ตัดสินใจฉีกสนธิสัญญาจำกัดอาวุธ “ABM” (Anti-Ballistic Missile Treaty) ที่เคยทำไว้กับโซเวียตรัสเซีย แล้วหันมาพัฒนาอาวุธ “Hypersonic” ด้วยการใช้เหตุผล ข้ออ้าง ว่ากะจะเอาไว้ถล่ม “ผู้ก่อการร้าย” ในระดับทั่วทุกซีกโลก ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งๆ ขึ้นไปนั่นเอง บรรดาประเทศใดๆที่ไม่คิดยืนข้างอเมริกา และอาจถูกกล่าวหาว่ายืนข้างผู้ก่อการร้ายเอาง่ายๆ ไม่ว่ารัสเซีย หรือจีน เลยต้องหันมาพัฒนาขีปนาวุธไปตามทิศทางดังกล่าวอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ คือต้องพัฒนาความเร็ว-ความแม่นยำ-ความสามารถในการหลบหลีก-และพิสัยทำการของขีปนาวุธ จนขึ้นสู่ระดับ “Hypersonic” ไปเป็นรายๆ

โดยรัสเซียนั้น...ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่หมด ในยุคประธานาธิบดี “ปูติน” จนในที่สุดก็สามารถประดิษฐ์คิดค้น พัฒนาขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง อย่าง “Kinzhal” และ “Avangard” ขึ้นมาประจำการในกองทัพรัสเซียในช่วงปี ค.ศ. 2019 โดยเฉพาะขีปนาวุธ “Avangard” ที่ติดตั้งไว้ที่แถบเทือกเขาอูราล ใกล้ๆ ชายแดนประเทศคาชัคสถานนั้น ว่ากันว่า...มีความเร็วเหนือเสียงถึง 27 เท่า และไม่ว่าจะเป็นการคุยโม้ คุยโต หรือไม่ อย่างไร แต่ก็ทำให้ผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดี “ปูติน” กล้าออกมาป่าวประกาศแบบเสียงดัง-ฟังชัด ว่าด้วยขีปนาวุธเหล่านี้นี่เอง ที่ไม่ใช่แค่เฉพาะ “ความเร็ว” แต่ยังมี “ความสามารถในการหลบหลีก” ระดับถือเป็น “อาวุธที่มองไม่เห็น” อีกต่างหาก ไม่เพียงทำให้รัสเซียกลายเป็น “ผู้นำ” ของอาวุธประเภทนี้ในโลกใบนี้เท่านั้น แต่ยังทำให้ “ดุลอำนาจ” ระหว่างรัสเซียกับอเมริกาและนาโต เป็นไปอย่างสมดุล หรือทำให้ยังไงๆ...อเมริกาและนาโต คงไม่คิดจะบุก หรือไม่กล้าจะจุดชนวนสงครามกับรัสเซียไปอีกตราบนานเท่านาน...

ส่วนคุณพี่จีนนั้น...เมื่อช่วงครบรอบ 70 ปีของ “พรรคคอมมิวนิสต์จีน” หรือเมื่อช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้วนี่เอง ระหว่างการเดินพาเหรดสวนสนามของกองทัพประชาชนจีน โลกทั้งโลกก็มีโอกาสได้เห็นขีปนาวุธ “Hypersonic” เมด อิน ไชนา รุ่นที่เรียกกันว่า “ตงเฟิง-17” (DF-17) ที่ว่ากันว่า...มีความเหนือเสียงประมาณ 5 เท่า หรือ 6,100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ส่วนที่กองทัพจีนยังไม่ได้คิดจะงัดออกมาโชว์คราวนี้ คือ “DF-21” “DF-41” และอาจไปไกลถึง “DF-100” เอาเลยก็ไม่แน่ ล้วนแล้วแต่เร็วชนิดเสียงวิ่งไล่กวดแทบไม่ทันไปด้วยกันทั้งสิ้น “DF-41” นั้น...ว่ากันว่าเร็วกว่าเสียงประมาณ 25 เท่า หรือสามารถเดินทางด้วยความเร็วประมาณ 36,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือสามารถถล่มพื้นที่ทุกจุดในประเทศอเมริกา ได้ภายในเวลาไม่เกิน 30 นาทีเท่านั้น อีกทั้งความสามารถในการหลบหลีก ล่องหน ก็ไม่น่าจะน้อยไปกว่าขีปนาวุธรัสเซียมากมายสักเท่าไหร่ หรืออย่างที่สถาบันวิจัยด้านยุทธศาสตร์ของออสเตรเลีย เขาเคยประเมินไว้ในรายงานเมื่อปีที่แล้วนั่นแหละว่า ขีปนาวุธ “Hypersonic” ของจีนมีขีดความสามารถพอที่จะกวาดล้างที่ตั้งทางทหาร หน่วยบัญชาการ หรือเรือบรรทุกเครื่องบินของอเมริกา ภายในภูมิภาคแปซิฟิก ได้ภายในชั่วเวลาไม่เกิน 15 นาที...

ด้วยเหตุนี้...การที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ต้องออกมาพ่นแมงโม้เอาไว้ในช่วงนี้ ถึงขีปนาวุธ “Super Duper Missile” ของอเมริกา ที่ยังไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่??? เพราะขนาดชื่อเสียง เรียงนามของขีปนาวุธที่ว่า ตัวประธานาธิบดีต้องตั้งชื่อขึ้นมาเองแบบสดๆ ร้อนๆ และจะทำ “ความเร็ว” มากกว่าความเร็วของเสียงถึง 17 เท่าได้จริงๆ หรือเปล่า??? โดยแนวๆ แล้ว...น่าจะออกไปทาง “Dupe” ซะล่ะมากกว่า คือออกมาข่มขู่ คำราม เกทับ-บลัฟแหลกฝ่ายตรงข้าม ที่อาจถือ “สเตรทฟลัช” หรือถือ “ฟูลเฮาส์” ไว้ในมือ ขณะที่ตัวเองยังกำแค่ “คู่แปด” แต่เพียงล้วนๆ อะไรทำนองนั้น แต่ก็นั่นแหละ...การออกมาคุยโม้ คุยโต ในเรื่องศักยภาพทางทหาร เรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีไว้ล้างผลาญทำลายมวลมนุษยชาติด้วยกันเอง ขณะที่แค่เจอกับศัตรูตัวเล็กๆ อย่างเชื้อไวรัส “COVID-19” ก็ยังดันแพ้แล้ว...แพ้อีก!!! นอกจากจะเป็นอะไรที่ “ไม่สร้างสรรค์” แล้ว ยังอาจเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลอเมริกัน ที่มักหันไปอาศัยพลังอำนาจทาง “การทหาร” เป็นทางออก ทางรอด แบบเดิมๆ เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา และเป็นไปนั่นเอง...
กำลังโหลดความคิดเห็น