ผู้นำสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ก็คงได้เป็นเพียงผู้นำสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นผู้นำชาติมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลกที่ชาติอื่นๆ เกรงขามในแสนยานุภาพอีก ที่ผ่านมา ความเป็นผู้นำเสื่อมถอยแทบไม่เหลือให้ประเทศ เช่นกลุ่มยุโรป เชื่อมั่นในการนำ
มีเพียงออสเตรเลีย และอังกฤษ ที่ยังเดินตามก้นทรัมป์ ไม่ยอมแตกแถว!
ซ้ำร้ายสถานการณ์ด้านการจัดการวิกฤตการระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสล้มเหลวต่อเนื่อง ผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโรคนี้ในสหรัฐฯ ทำให้อเมริกาครองอันดับ 1 ยังไม่มีทีท่าว่าจะเสียแชมป์ และมีอังกฤษ เมืองแม่ดั้งเดิม กำลังไล่ตามมาห่างๆ
ทรัมป์สิ้นสภาพ เหลือแต่คนอเมริกันที่อนุรักษนิยม ถูกปั่นหัวเป่าหูด้วยสื่ออย่างเช่นฟ็อกซ์นิวส์ ที่ยังยกย่องทรัมป์ เพราะเป็นคนเหยียดผิว มีความคิดการเมืองแนวขวาจัด การระบาดทำให้เห็นคนผิวดำและคนผิวสีอื่นๆ ตายมากกว่าคนผิวขาว
การที่ทรัมป์และพวก พยายามเล่นงานจีนว่าเป็นผู้ทำให้เกิดปัญหาการระบาด ทำให้ชาติอื่นๆ ไม่สบายใจ เพราะมองว่าทรัมป์ต้องการปัดความรับผิดชอบในความล้มเหลว ซ้ำร้ายมีเจ้าหน้าที่ในทำเนียบขาวติดเชื้อ รวมทั้งโฆษกของ ไมค์ เพนซ์ ด้วย
คนในทำเนียบขาวปั่นป่วน ผู้อำนวยการ CDC นายRobert Redfield ซึ่งรับผิดชอบป้องกัน ควบคุมเชื้อโรค และผู้อำนวยการองค์การอาหารและยา FDA นายStephen Kahn ต้องกักตัวเอง 14 วัน เพราะไปใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ผู้ติดเชื้อในนั้น
คนสำคัญที่สุดในงานนี้ ดร.Anthony Fauci ซึ่งเป็นตัวหลักในการสู้กับโคโรนาไวรัส พยายามขวางมาตรการผ่อนคลายของทรัมป์ ต้องกักตัวเองด้วยเช่นกัน!
แต่ละวันผ่านไป ทรัมป์เริ่มคุยโม้ไม่ออก ไม่มีใครฟังและเชื่อถือ เพราะสถานการณ์ไม่ดีขึ้น คนอเมริกันกว่า 33.3 ล้านคนตกงานภายในเวลา 4 เดือนเท่านั้น และเศรษฐกิจถดถอยอย่างแรง เสี่ยงต่อการเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเหมือนปี 1930
ที่หนักหนาสาหัสคืออดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้ให้สัมภาษณ์กลุ่มการเมือง เล่นงานทรัมป์ว่าการจัดการปัญหาโคโรนาไวรัส เป็น absolute chaotic disaster แปลว่า “หายนะ โกลาหลสุดๆ” หรือว่าห่วยแตก เละตุ้มเป๊ะนั่นเอง
แถมยังเหน็บทรัมป์จัดการวิกฤตแบบไม่ใส่ใจ ไร้ชีวิตชีวา กระท่อนกระแท่น มีแนวคิด หรือ Mindset คือ “What’s in it for me” หรือ “ทำแล้วกูจะได้อะไร” และ “To heck with everybody else” หรือ “ก็ช่างหัวพวกแม่งมันปะไร” เจ็บแสบสุดๆ
โอบามาประกาศว่าเมื่อเห็นสภาพของทรัมป์จัดการวิกฤตครั้งนี้แบบไม่เข้าท่า ห่วงแต่การเลือกตั้ง ไม่สนใจคนติดเชื้อและเสียชีวิต ตัวเองจะทุ่มเทเดินสายหาเสียงให้ โจ ไบเดน ผู้ท้าชิงเก้าอี้ผู้นำทำเนียบขาวเต็มที่ ถ้าทรัมป์ได้อีก จะอันตรายมาก
โอบามามองว่าสหรัฐฯ ได้สูญเสียสถานภาพชาติมหาอำนาจผู้นำโลกไปแล้วเพราะการกระทำที่ไม่อยู่ในร่องในรอยของทรัมป์ ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ เห็นแก่ตัว แนวคิดสร้างความแตกแยกชาติ เหยียดผิว มองคนอื่นๆ เป็นศัตรูไปหมด
การออกมาพูดของโอบามาครั้งนี้ ถือว่าโดนใจคนอเมริกันส่วนหนึ่ง หลังจากที่โดนทรัมป์กล่าวหาหลายเรื่อง เช่นการไม่เตรียมพร้อมตั้งรับวิกฤตการระบาดของโรค ทั้งๆ ที่ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ผู้นำคนก่อนโอบามา ก็พยายามวางโครงสร้างเรื่องนี้ไว้แล้ว
กลุ่มประเทศยุโรปไม่ได้มองว่าทรัมป์เป็นผู้นำชาติตะวันตกมีระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตยอีกแล้ว ล่าสุด ขณะที่ชาติมหาอำนาจต่างๆ พยายามลงขันร่วมกัน 8 พันล้านดอลลาร์ในด้านคิดค้นวิจัยและผลิตวัคซีน ยารักษา แต่สหรัฐฯ ไม่เข้าร่วมด้วย
อ้างว่าทุกวันนี้สหรัฐฯ และองค์กรต่างๆ พยายามทุ่มทรัพยากรทำอย่างนั้นอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วม และผลที่ปรากฏคือบริษัทกิลเลียด ผู้ผลิตยารักษา ชื่อ Remdesivir ก็พร้อมทำการผลิต แต่ช่วงนี้จำกัดเพียงให้คนป่วย 2 แสนรายเท่านั้น
กว่าจะผลิตให้พอใช้สำหรับคนป่วย 1 ล้านคน ต้องรอถึงสิ้นปี แต่กลุ่มประเทศยุโรปมองว่านางอังเกลา แมร์เคิล ผู้นำเยอรมนี ได้เป็นผู้นำกลุ่มประเทศตะวันตกโดยปริยาย เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดการวิกฤตโคโรนาไวรัส แม้จะยังเอาไม่อยู่
แต่ยังมองว่าเยอรมนีมียอดผู้เสียชีวิตต่ำกว่าชาติอื่นๆ ในระดับเดียวกัน เช่นฝรั่งเศส อิตาลี อังกฤษ และมาตรการต่างๆ แสดงว่าได้ผลระดับหนึ่ง และที่ผ่านมานางแมร์เคิลได้ผ่านวิกฤตร้ายแรงมา 3 ครั้ง และสามารถนำพายุโรปรอดมาได้
เช่นวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 เริ่มที่สหรัฐฯ ทำให้บริษัท สถาบันการเงินล่มไม่เป็นท่า แต่แมร์เคิลได้ทำให้ผลกระทบในยุโรปไม่รุนแรงมากเหมือนในสหรัฐฯ และอีก 2 ครั้งคือวิกฤตหนี้ยุโรป มีกรีซ สเปน อิตาลี ฝรั่งเศส ทำท่าจะไปมิไปแหล่
ที่สำคัญคือการนำพาชาติยุโรปฝ่าวิกฤตการทะลักของผู้ลี้ภัยจากตะวันออกกลาง แอฟริกา เป็นล้านๆ คน เข้าไปในยุโรป สร้างปัญหาความมั่นคงระดับหนึ่ง
มีข่าวที่ทำให้คำอ้างของทรัมป์ที่เล่นงานจีนเริ่มไม่มีน้ำหนัก สำนักข่าว CGTN อ้างรายงานของแพทย์ในโรงพยาบาล Albert Schweitzer ในเมือง Colmar ด้านตะวันออกของฝรั่งเศส ว่าได้พบเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2019 แล้ว
ทั้งนี้เป็นผลจากการไล่ตรวจสอบผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโรคปอดบวมและติดเชื้อ ทำให้ยืนยันได้ว่า คนเสียชีวิตเป็นเพราะเชื้อโคโรนาไวรัส ไม่ใช่เพราะโรคอื่นๆ
จีนพบการระบาดของโคโรนาไวรัสในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่เมืองอู่ฮั่น เท่ากับว่ามีเชื้อตัวนี้ในยุโรปก่อนหน้าที่จะค้นพบในเมืองอู่ฮั่น และนายRobert Redfield ของ CDC ก็กล่าวก่อนหน้านี้ว่าพบคนติดเชื้อนี้ในสหรัฐฯ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์
ทรัมป์จะดิ้นอย่างไรต่อไปในฐานะจอมกะล่อน ต้องรอดู!